14/05/2566 สัมภาษณ์ แพรรี่ ธัญพิชชา ไตรวุฒิ จากสถาปัตย์สู่วงการภาพยนตร์ แพรรี่-ธัญพิชชา ไตรวุฒิ ( Prairie T. Trivuth ) สาวน้อยสถาปนิกสู่เบื้องหลังวงการออกแบบฉากภาพยนตร์ Hollywood เรื่องราวของคนมีฝัน ที่อยากทำงาน Hollywood เธอเข้าสู่เบื้องหลังวงการ Hollywood ได้ยังไง วันนี้เธอจะมาขอแชร์ ประสบการณ์ให้เพื่อนๆ ได้ฟังกันค่ะ เรื่องราวของคนมีฝัน ที่อยากทำงาน Hollywood สาวน้อยสถาปนิกจุฬาสู่วงการออกแบบฉากภาพยนตร์ Hollywood แพรรี่ ธัญพิชชา ไตรวุฒิ จากสถาปัตย์สู่วงการภาพยนตร์ พิธีกร : สวัสดีค่ะ แนะนำตัวเองให้ฟังหน่อยค่ะ แพรรี่ : ชื่อ แพรรี่ ค่ะ เรียนจบปริญญาตรี สถาปัตย์จุฬาค่ะ จากนั้นทำงานบริษัท ภูมิสถาปัตยกรรม ที่ไทย สักพักสนใจมาเรียนต่อโท Scenic and Production Design ที่ UCLA แคลิฟอร์เนีย และปัจจุบัน ทำงาน ออกแบบฉากภาพยนตร์ให้กับทางฮอลลีวู้ด พิธีกร : มีภูมิหลังยังไงทำไมถึงมาทำงานสายนี้ แพรรี่ : ตั้งแต่เด็กๆ เราชอบวัฒนธรรมร่วมสมัย เวลาเห็นงานสร้างอะไรที่ยิ่งใหญ่และหนักแน่นเราก็อิน แล้วก็อยากกลับบ้านมาขุดคุ้ยว่าสิ่งเหล่านั้นกว่าจะมาเป็นผลลัพท์ที่เราเห็นบนจอนี่มันมีขั้นตอนความเป็นมายังไง ตอนเรียนสถาปัตย์ก็ได้เกรดกลางๆ สร้างบ้านได้ ชอบพวกวิชาทฤษฎีและประวัติศาสตร์เป็นพิเศษ แต่สิ่งที่เราเอ็นจอยที่สุดคือกิจกรรมคณะที่มีพื้นที่ให้ทำอะไรสร้างสรรค์ การแสดงต่างๆ เราได้ทำละครเวทีกับเพื่อนๆ แล้วก็ชอบอาสาทำอะไรครีเอทีฟที่ไม่ใช่เรื่องเรียนบ่อยๆ เรื่องเล่นที่ไม่จีรังเราอยากทำไปหมด เพราะมันเปิดโอกาสให้เราทุ่มความคิดความกล้าหาญใส่ลงไปกับงานแล้วมันก็จบหายไปเหลือเพียงความทรงจำ ช่วงเริ่มต้นชีวิตวัยทำงานก็ทำที่สถาปัตย์ในบริษัทแลนด์สเคปย่านสุขุมวิทแห่งหนึ่ง ตอนทำงานนั้นเราได้พัฒนาสกิลสรรหาแนวคิดเว่อร์ๆ แปลกๆ ดัดจริตเล็กน้อยมาปรับใช้ให้เข้ากับบริบทของโปรเจค ขึ้นโมเดลคอนเส็ปพรีเซนท์ลูกค้า ทำแต่คอนเส็ปจนลืมว่าดราฟท์แบบก่อสร้างจริงๆทำยังไง ซึ่งก็สนุกมากเลย แต่ลึกๆก็ยังคิดว่าเราอยากไปสร้างโลกที่มันเข้าถึงคนได้เยอะๆ อยากออกแบบอะไรสุดโต่งที่เกิดขึ้นแล้วดับไป ไม่ต้องเจ็บปวดกับความยืนนานและผลกระทบของมันมากเท่าสร้างตึก พอคิดจะเรียนต่อป.โท แล้วมันเปิดโอกาสให้เราทบทวนด้วยความตั้งใจอีกทีทั้งๆที่เป็นผู้ใหญ่ว่า โตขึ้นอยากเป็นไร แล้วก็เกิดโมเมนต์บ้าๆ ที่คิดว่า เราจะไปฮอลลีวูด จะไปสร้างยานอวกาศ จะไปทำโชว์ให้ lady gaga จะไปทำฉากบนบรอดเวย์ บลาบลาบลาๆ เหมือนจะคิดเล่นๆแต่ปรากฏคิดอย่างอื่นไม่ได้อีกเลย ทำพอร์ตสมัคร Scenic and Production Design ที่ UCLA ติดแล้วก็บินไปเรียน ญาติโยมพยายามเปลี่ยนใจเราเราก็ได้แต่แหะๆ ในใจคิดว่าเรามาถึงตรงนี้แล้วก็ทำให้เต็มที่เนอะ พกตังมาพอเรียนแค่ปีเดียวก็สู้ๆหาทุน สู้ๆทำงาน และสู้ๆประหยัด ชีวิตการเรียนที่นี่วิกฤตสาหัสยิ่งกว่าตอนเรียนสถาปัตย์อีก เวลาเห็นใครมาเรียนเมกาแล้วเที่ยวเยอะก็จะรู้สึก ห้ะ คงเป็นไปไม่ได้สำหรับฉัน สามปีที่ชีวิตยับเยิน 80% ส่วน 20% ที่ไม่เยินก็คือนอนตาย เหนื่อยแต่สนุกมากเหมือนได้อยู่ในโลกที่มีอะไรท้าทายตลอดเวลา สู้ๆเรียนจบออกมาสู่โลกความจริงก็สู้ๆหางาน งานในวงการคือฟรีแลนซ์ที่มี union คุ้มครองสวัสดิการ จบงานนึงก็สู้ๆ ส่งเมลหาคนเป็นสิบว่ามีอะไรให้เราทำมั้ย ตอนนี้เป็น Junior Set Designer ทำอยู่ที่ซีรี่ส์ The Residence ของเน็ตฟลิกซ์ ถึงแม้จะทำงานอยู่แต่สิ่งที่ต้องเรียนรู้ ต้องเก่งขึ้น ต้องเร็วขึ้น ก็มีให้ทำตลอดเวลา ทำงานภาพยนตร์ไม่สวยหรู วงการมีปัญหาภายในมากมายไม่หยุดซึ่งเราก็ซึมซับความเจ็บปวดนั้นในอีกแบบนึงที่ต่างกับสถาปัตย์ แต่ในฐานะคนทำศิลปะคนนึงเรารู้สึกว่ามันมีอะไรให้ตื่นเต้นทุกก้าวเลย พิธีกร : ออกแบบให้กับภาพยนตร์แตกต่างหรือเหมือนกับออกแบบสถาปัตย์ยังไง แพรรี่ : ในการออกแบบฉากภาพยนตร์มีส่วนที่ทั้งเหมือนและแตกต่างกับสถาปัตย์ เริ่มต้นคือในสถาปัตย์เรามีสิ่งที่เรียกว่าใบโปรแกรมใช่มั้ย นั่นคือไบเบิลของทั้งโปรเจคที่เรากลับไปดูเพื่อให้ออกแบบให้ตรงกับไครทีเรียต่างๆ ที่สถานที่แห่งนั้นต้องการเพื่อรับใช้และส่งเสริมชีวิตของ user ส่วนในการทำหนังสิ่งที่ทำหน้าที่นี้คือ บท แล้วบางทีบทก็เขียนแค่คำเดียว ตัวอย่างเช่นบทเขียนว่า Interior Living room จบ แต่ในฐานะผู้ออกแบบเราต้องทำให้มันผลิบานออกมาเป็นสถานที่ที่มีคนอยู่จริง มีวัฒนธรรม มีร่องรอยของการใช้ชีวิต มีภาษาและกฏเกณฑ์ของมันเอง ซึ่งในส่วนนี้ production designer และผู้กำกับและ cinematographer ก็ต้องทำงานร่วมกันเพื่อให้เข้าใจตรงกันว่าสิ่งที่เราต้องการจะสื่อคืออะไร แล้วจะถ่ายเห็นอะไรบ้าง ตรงนี้ความรู้สถาปัตย์สำคัญมากๆ ในการออกแบบฉากภาพยนตร์ โดยเฉพาะเมื่อฉากหนังมันเป็นของปลอม เราอาจจะรู้สึกว่าเราทำอะไรก็ได้ แต่สิ่งที่จะทำให้คนดูเชื่อคือความสมจริง ฉะนั้นความเข้าใจในโครงสร้าง เข้าใจเทคโนโลยีการก่อสร้าง งานระบบ และวัสดุ และขีดจำกัดทางสถาปัตยกรรมต่างๆ ในแต่ละบริบท รวมถึงแนวเทรนด์ของคนแต่ละกลุ่มแต่ละยุคแต่ละสถานที่ ในช่วงเวลาต่างกัน จึงสำคัญมากๆ เราก็ต้องแปะโน้ตไว้ในใจตลอดเวลาว่าบทต้องการอะไร ตัวละคร สตอรี่ ต้องการสื่ออะไร แม้แต่ลูกบิดประตูหรือท่อซิงค์ล้างจานอะไรงี้ก็ต้องคิดว่า ตัวละครจะมีเงินซื้ออันนี้มั้ย มีเวลามาซ่อมตรงนี้มั้ย หมอนอิงในบ้านนี้ใช้มากี่เจนเนอเรชั่น วอลเปเปอร์ไม่ได้เปลี่ยนตั้งแต่ 20 ปีที่แล้วหรือเปล่า หรือถ้าตัวละครเป็นผู้ดีเก่า กลไกในบ้านอาจจะมีดีเทลโบราณๆ ที่แสดงออกถึงฐานะอย่างเงียบๆ มั้ย บางทีผู้ออกแบบก็จงใจใส่อะไรที่ดูเชยหรือฝืนธรรมชาติ ถ้ามันช่วยส่งเสริมลักษณะของตัวละคร แต่การที่จะรู้ว่าเรามีช่องทางไหนบ้างที่จะแสดงออกถึงดีเทลเล็กๆเหล่านี้ ความรู้สถาปัตย์นี่ล่ะก็คือสิ่งที่บอกใบ้เรามีความเป็นไปได้อะไรบ้าง พิธีกร : มีอะไรที่เป็น culture shock ระหว่างสองวงการบ้าง แพรรี่ : สิ่งหนึ่งที่เหมือนจะไม่ใช่เรื่องใหญ่แต่ทำเอาเราเหวออย่างไม่ตั้งตัวตอนเปลี่ยนจากทำสถาปัตย์มาทำหนังแรกๆ คือ บางครั้ง interior กับ exterior ของสถานที่เดียวกับในบท มันคือคนละฉากกัน คือเราอาจจะสร้าง exterior ในสถานที่จริงบางแห่ง แล้วสร้าง interior ในสเตจที่สตูดิโอ วิธีดราฟท์แบบก็ต่างกับสถาปัตย์ตรงที่เราจะลงน้ำหนักเส้นเฉพาะด้านที่หันหากล้องเท่านั้น ส่วนจะเกิดอะไรขึ้นข้างหลังฉาก หรือที่เรียกกันว่า off-set เราไม่ต้องวาด ทางทีมก่อสร้างจะตัดสินใจเอง นอกจากนี้อีกอย่างที่เราตกใจช่วงแรกๆ คือฉากหนังไม่มีเสา! ถ้ามีเสาในฉากมันเป็นของปลอม ตอนแรกๆก็ว้าวมากว่าเฮ้ยเราไม่ต้องสนใจกริดเสาไม่ต้องกังวลโครงสร้างอะไรเลยเหรอ *โยนความรู้สตรัคทั้งหมดทิ้ง* เพดานฉากก็แขวนเอาจากกริดในสเตจ ไม่ได้ทิ้งน้ำหนักลงบนฉากแต่อย่างใด เพราะเพดานต้องบินออกไปได้ทุกเวลาเพราะต้องมีช่องทางให้เอาอุปกรณ์แสงส่องเข้ามา แต่ก็อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วคือ ยิ่งไม่มีข้อจำกัด ความรู้สถาปัตย์ยิ่งต้องยึดถือให้แน่น ไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถสร้างฉากที่สมจริงและดูเหมือนมีโครงสร้างจริงๆ ได้ ต่อให้ไม่มีเสาไม่มีคาน ก็ต้องวางแปลนและตกแต่งเสมือนว่ามี *เก็บความรู้สตรัคขึ้นมาจากพื้น* เอาจริงๆ ตรงนี้เป็นสิ่งที่น่าสนใจดีสำหรับเรา เหมือนเราเริ่มต้นเบสิคที่ความเป็นจริง แล้วเขี่ยมันไปเรื่อยๆ ทดสอบขีดจำกัดของไอเดียว่าอะไรเวิร์คอะไรไม่เวิร์ค พอถึงจุดนึงก็พยายามดึงกลับมาให้สะท้อนความเป็นจริง ให้คนดูดูแล้วซึมซับเนื้อเรื่องอย่างราบรื่นไม่จดจ่อว่าอันนั้นปลอมอันนี้จริง โอเคอีกอย่างนึงที่ต้องคำนึงคือ บางครั้งกำแพงฉากต้องยกออกได้ เรียกว่า wild wall เพราะต้องมีที่ให้กล้องเข้าไปถ่ายได้ไม่ว่าห้องจะเล็กแค่ไหน ประเด็นก็คือพอกำแพงแต่ละชิ้นมันไม่ได้เชื่อมติดกัน เทคนิคทางการออกแบบสถาปัตย์และอินทีเรียนี่แหละที่เข้ามามีส่วนช่วยแก้ปัญหาตรงนี้ เราเวลาเราทำงานสถาปัตย์เราต้องคิดเรื่องดีเทลการ transition ระหว่างสองวัสดุ ระหว่างสอง surface ระหว่างสอง mass หรือแม้แต่ระหว่างรอยต่อวัสดุใช่มั้ย ในการปรับใช้กับสถานการณ์นี้ก็คือต้องหาวิธีที่แยบยลและสร้างสรรค์ในการทำให้ฉากแต่ละชิ้นวางชิดกันแล้วดูเหมือนเชื่อมต่อกันอย่างเป็นธรรมชาติ ประมาณนั้น ตอนนี้คิดออกแค่นี้ก่อนแต่เชื่อว่ามีอีก Fig. 1 ตัวอย่างดรออิ้งฉาก exterior บ้าน Fig. 2 ตัวอย่างดรออิ้งฉาก interior บ้าน Fig. 3 ตัวอย่าง 3D Section ฉาก Interior ห้องสมุดยุค Elizabethan พิธีกร : นอกจากงาน set design มีทำงานอย่างอื่นมั้ย แพรรี่ : ที่เล่ามาทั้งหมดคืองานประจำที่ทำใน union production หรือที่ชาวเราเรียกกันว่าฮอลลีวูด มันเป็นสิ่งที่เราชอบและรู้สึกมีชีวิตเวลาได้ทำและได้เห็นมันถูกถ่ายและกลายเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวที่ยิ่งใหญ่ (และรู้ว่าพ่อแม่จะได้ดูตราบใดที่ยังจ่ายค่าเน็ตฟลิซ์) แต่ถึงกะนั้นบางครั้งก็อยากทำโปรเจคเล็กๆ ที่เราได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์เยอะๆ และเป็นคนดีไซน์เองทั้งหมดบ้าง หรือทำงานที่ตื่นเต้นไปคนละแบบอย่างเช่นการแสดงบนเวทีบ้าง นอกเวลางานเราก็รับงานเป็น production designer ให้กับหนังสั้น independent อย่างเช่นทีสิสของเพื่อนนักเรียนฟีล์ม ส่วนใหญ่งานแบบนี้เขาไม่มีเงินจ่ายเราหรือจ่ายได้แค่ติ๊ดเดียว เราก็ต้องยอมทำฟรีแล้วก็สวดมนต์ขอให้งานออกมาดีได้ไปแสดงในเทศกาลต่างๆ ซึ่งจะส่งผลดีต่อพอร์ตของเรา เวลาทำหนังสั้นกับเพื่อนๆ เราสนุกสนานกับอิสระที่ได้ค่อยๆ ถอดรหัสจากบทออกมาเป็น visual ค่อยๆรวบรวมรีเสิร์ชและคัดสรร mood and tone บางทีบทสนทนาระหว่างเรากับผู้กำกับก็ช่วยให้บทและศิลป์พัฒนาไปด้วยกัน ส่วนใหญ่แล้วบทประเภทนี้จะ personal กับผู้กำกับ อาจจะเป็นประสบการณ์ชีวิตของเขา หรือถ่ายทอดการทบทวนความสัมพันธ์ของเขากับผู้คนในชีวิตเขา และการที่เขาเขียนบทขึ้นมาแล้วส่งให้ทีมงานทำให้มันเกิดขึ้นต้องใช้ความกล้าหาญเป็นอย่างยิ่งที่จะเปิดเผยส่วนที่ละเอียดอ่อนเกี่ยวกับตัวเองกับคนทั้งกองและเชื่อใจว่าทุกคนจะซื่อสัตย์และเคารพ source material ซึ่งความเป็นมืออาชีพที่จะให้เกียรติความรู้สึกเหล่านี้ในขณะที่ต้องเอางานเอาการและสื่อสารกับผู้ร่วมงานทุกคนก็เป็นสกิลที่ต้องฝึก เวลาไปออกกองแล้วเห็นงานของเราทั้งหมดเป็นผล เห็นนักแสดงเล่นบทอย่างจริงจังในฉากที่เราออกแบบบางทีก็น้ำตาซึมนะ คิดในใจว่าที่เราทำทั้งหมดก็เพื่อผู้คนจะได้เห็นสิ่งนี้ถ่ายทอดไปสู่เขา ความรู้สึก magic แบบนี้เกิดขึ้นแต่ในอินดี้เท่านั้นแหละเพราะงาน union ใหญ่ๆ เราในฐานะ set designer ไม่ต้องไปกองถ่ายเท่าไหร่ Fig. 4 “Bloom” เขียนและกำกับโดย Shelby Virginia Fig. 5 “Daisy is Gone” เขียนและกำกับโดย Zi Yao Liu บางครั้งเราก็รับงาน concept illustration ให้กับผู้สร้าง นักเขียน หรือผู้กำกับที่ต้องการ pitch โปรเจ็คกับสตูดิโอใหญ่ๆ และต้องการภาพประกอบไอเดียที่ชัดเจน ในสถานการณ์แบบนี้เราก็จะเป็นคนแรกๆ ที่ได้รับรู้เรื่องราวที่เขาอยากจะถ่ายทอด จึงเป็นหน้าที่ที่สำคัญมากที่จะช่วยวางรากฐานของโปรเจคที่จะถูกเอาไปพัฒนาต่อไป Fig. 6 Concept Art Fig. 7 Concept Art พิธีกร : พูดถึงงานการแสดงบนเวที ประสบการณ์งานออกแบบฉากการแสดงสดเป็นยังไงบ้าง แพรรี่ : เมื่อต้นปีเราได้มีโอกาสออกแบบฉากให้กับ World Premiere ของโอเปร่าชิ้นใหม่ซึ่งจัดสร้างโดย Long Beach Opera ชื่อเรื่องว่า The Romance of the Rose ซึ่งเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ทำงานกับนักประพันธ์ผู้เข้าชิง Pulitzer และผู้กำกับที่ได้เข้าชิง Grammy’s ประสบการณ์การทำงานกับโอเปร่ามีความพิเศษที่ต่างกับทำหนังอย่างหนึ่งคือ นอกจากบทแล้วก็ยังมี ✨ดนตรี✨ ที่จะชี้นำการออกแบบของเรา เราต้องฟังเพลงหรืออ่านโน้ตแล้วคำนึงของฟอร์มของเสียงดนตรี เพื่อนำมาออกแบบฉากให้ตอบรับกับจังหวะและและการเคลื่อนไหวของนักร้อง เกอเธ่กล่าวไว้ว่า “Music is liquid architecture; architecture is frozen music” การดีไซน์โอเปร่าคือเรามีหน้าที่ผสานสองสิ่งเข้าด้วยกัน โดยมีเวลาและมูฟเมนต์เข้ามาเป็นบอสใหญ่คุมอีกที ทุกครั้งที่ทำงาน theater เหมือนโลกกำลังย้ำกับเราว่าเราจะซาบซึ้งกับการแสดงบนเวทีตลอดไป เราชอบความที่ผู้คนในวงการ theater ทำงานเป็นทีมเล็กๆ ใกล้ชิดกันและมีมิตรภาพที่ดีต่อกัน และที่สำคัญ การที่ทุกคนมาอยู่ร่วมกันในโรงละคร แล้วยินดีละทิ้งกฏเกณฑ์แห่งความเป็นจริงไว้นอกประตู เกินเข้ามาด้วยดวงตาและหูที่เปี่ยมไปด้วยความสงสัยอยากรู้ มันเป็นปรากฏการที่มีความเป็นมนุษย์มากๆ ในขณะเดียวกันก็เหมือนมีเวทย์มนตร์มากๆ ครั้งแรกที่เราเห็นอะไรแบบนี้ตอนทำละครถาปัด จนครั้งล่าสุดที่มีงานของตัวเองโชว์ที่ Warner Grand Theater ความรู้สึกนี้เราไม่เบื่อเลย เราคิดตลอดว่าเมืองไทยเรามีคนเก่งๆ มี material และเรื่องราวที่น่าสนใจมากมาย ถ้าวงการศิลปะและการแสดงได้รับการสนับสนุนมากขึ้นเพื่อให้คนเข้าถึงได้ก็คงจะดี ไม่ใช่แค่ศิลปะที่เก็บไว้ให้ elite หรือคนที่เนิร์ดและติสท์กว่าชาวบ้าน แต่อยากให้มันเป็นพื้นที่ที่ใครๆ ก็สามารถเข้ามาเป็นผู้ให้และผู้รับในบริบทที่ปลอดภัยและต้อนรับและสร้างสรรค์ และซื่อตรงต่อสัญชาตญาณความเป็นมนุษย์ที่อยากจะถ่ายทอดเรื่องราว Fig. 8 The Romance of the Rose Fig. 9 The Romance of the Rose Fig. 10 The Romance of the Rose พิธีกร : คุยสนุกมากเลย มีอะไรอยากจะฝากบอกผู้อ่านมั้ย แพรรี่ : ทุกคนที่อยากสู้ก็ต้องสู้ๆๆๆ และพักผ่อนเยอะๆ ทุกคนต้องพยายามเข้าใจตัวเองและรู้จักภูมิใจในตัวเอง ไม่งั้นจะไม่มีแรงสมองหรือแรงใจที่จะสู้ๆๆต่อไป ใครที่ไม่อยากสู้ก็พักและเล่นสนุกเยอะๆ แบ่งปันพลังงานให้กันและกันเยอะๆ และทุกคนต้องตั้งสติ! 😃 ติดตามผลงาน ของแพรรี่ ธัญพิชชา ไตรวุฒิ ( Prairie T. Trivuth ) ได้ที่ website: www.prairiett.com แพรรี่ ธัญพิชชา ไตรวุฒิ ( Prairie T. Trivuth ) รูปภาพอ้างอิง Jackie Fang : https://m.imdb.com/name/nm11501538/Raquel Hagman : https://m.imdb.com/name/nm4977819/J. J. Geiger : https://www.jjgeigerphotos.com/Jessica Brooks : https://www.jessicabrooksphoto.com/