03/05/2556 เปลี่ยนบ้านให้เย็นด้วยเคล็ดวิธีธรรมชาติ ประเทศไทย เป็นประเทศที่มี 3 ฤดูกาล ฤดูฝน หนาว ฤดู ร้อน แต่ด้วยสภาพอากาศที่เปลี่ยนไป เพราะน้ำมือมนุษย์ ประเทศไทยตอนนี้ จึงมีสภาพอากาศที่ไม่เป็นไปตามฤดูกาล มีอากาศที่ร้อนอบอ้าว หลายๆคนจึงต้องหาวิธีคลายร้อนต่างวิธีกันออกไป อย่างวันนี้เราก็จะมาแนะนำวิธีคลายร้อนให้กับบ้านของคุณด้วยเคล็ดวิธีธรรมชาติ เทคนิควิธีการสำคัญที่นิยมทำกัน ก็คือจะเน้นการใช้วิธีการต่าง ๆ ในการรับมือกับแสงอาทิตย์ ซึ่งเป็นสาเหตุทางตรงที่ทำให้เกิดอุณหภูมิความร้อนในบ้าน ขณะเดียวกันก็จะประยุกต์ใช้ลมและต้นไม้ซึ่งเป็นของวิเศษชั้นดีจากธรรมชาติมาใช้ประโยชน์อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ในการใช้บัง ปรับลดอุณหภูมิ และนำความสุขสบายมาสู่บ้าน ทั้งนี้เคล็ดวิธีธรรมชาติในการเปลี่ยนบ้านร้อนให้กลายเป็นบ้านเย็นเท่าที่ทำกันอยู่ในปัจจุบัน และในเมืองไทยได้รับการยอมรับว่าได้ผลดีเท่าที่รวบรวมได้ ประกอบด้วยแนวทางหลัก ๆ 15 แนวทางด้วยกันดังนี้ 1. วางผังบ้านให้ถูกทิศโดยกำหนดให้ด้านยาวของตัวบ้านวางตั้งฉากกับทิศเหนือเพื่อเปิดช่องลมให้เข้าบ้านมากที่สุด วางด้านแคบของตัวบ้านหันเข้าหาทิศตะวันออกและทิศตะวันตกเพื่อเป็นการจำกัดพื้นที่ที่จะรับความร้อน ขณะเดียวกันก็พยายามจัดให้มีช่องเปิดของผนังน้อยที่สุดในด้านทิศตะวันออกและทิศตะวันตก 2. ออกแบบรูปทรงบ้านให้เหมาะสมโดยเน้นการออกแบบให้เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ซึ่งถือเป็นรูปทรงบ้านที่ช่วยหลบแดดได้ดีที่สุดเพราะมีเส้นรอบรูปน้อยที่สุด นอกจากนั้นควรออกแบบบ้านให้มีลักษณะโปร่งโล่ง กั้นภายในอาคารแต่น้อย มีหลังคาสูงและลาดเอียง เช่น หลังคาจั่ว หลังคาปั้นหยา และหลังคาที่มีชายคายื่นยาวเพื่อช่วยบังแดดและกันฝนได้ดีขึ้น 3. ปลูกต้นไม้ช่วยบังแดดในบริเวณบ้านเพื่อช่วยดูดซับความร้อนในเวลากลางวัน และช่วยบังให้ผนัง หลังคา ช่องแสงถูกแสงแดดน้อยลง และช่วยสร้างก๊าซออกซิเจนออกสู่บรรยากาศก่อให้เกิดความชุ่มชื้นขึ้น การมีต้นไม้ใหญ่ในบ้าน 1 ต้นเทียบเท่ากับการมีเครื่องปรับอากาศขนาด 1 ตันอยู่ในบ้าน ซึ่งจะสามารถช่วยลดความร้อนทั้งภายในบ้านและนอกบ้านได้อย่างมีนัยสำคัญ 4. ใช้วัสดุมุงหลังคาประเภทที่ไม่เป็นตัวนำความร้อนความร้อนในตัวบ้านส่วนใหญ่จะมาจากความร้อนที่ผ่านมาทางหลังคาเป็นสำคัญคือประมาณร้อยละ 80 ดังนั้น การเลือกใช้วัสดุมุงหลังคาจึงมีความสำคัญมาก วัสดุมุงหลังคาที่เหมาะสมควรเป็นประเภทที่ไม่เป็นตัวนำความร้อน หรือเป็นวัสดุที่มีผิวสะท้อนรังสีความร้อนได้ดี ทั้งนี้ควรใช้วัสดุสีอ่อนทั้งที่หลังคาและที่ผนังภายนอกหลังคา ควรมีฝ้าเพดาน และระหว่างหลังคากับฝ้าเพดานควรมีฉนวนกับความร้อนและมีการระบายอากาศใต้หลังคา 5. ติดตั้งฉนวนป้องกันความร้อนในจุดที่รับความร้อน ฉนวนกันความร้อนถือเป็นตัวช่วยสำคัญที่จะช่วยป้องกันความร้อนไม่ให้เข้ามาในบ้าน ฉนวนที่ใช้อาจเป็นกระจกฝ้า ม่าน คอนกรีตบล็อกชนิดโปร่งหรือฉนวนธรรมชาติ ต้นไม้ใบเลื้อยปกคลุมผนังไม้เลื้อยบนหลังคาโปร่งหรือวนบนหลังคา หรือใช้เป็นระแนงที่ปลูกเถาไม้เลื้อย ที่ทำให้เกิดลมเย็นพัดผ่านความชุ่มชื้นของใบไม้ระหว่างซอกแผงระแนงกับผนัง ป้องกันแสงแดดและมีคุณสมบัติพิเศษคือป้องกันฝุ่นและเก็บเสียง 6. ใช้หน้าต่างประเภทกันความร้อนได้ โดยเน้นใช้กระจกในหน้าต่างที่สามารถทำที่บังแดดให้กระจกได้เท่านั้น และใช้กระจกที่มีคุณสมบัติในการตัดแสงหรือไม่ดูดซึมความร้อน หรือกระจกเคลือบผิวสะท้อนแสงหรือกระจกสองชั้น ทั้งนี้จะต้องพยายามให้มีช่องแสงและหน้าต่างเท่าที่จำเป็นเท่านั้น ในด้านทิศตะวันออกและตะวันตกของอาคาร และควรเลือกใช้แผงบังแดดนอกอาคาร ซึ่งปกติแล้วจะกันแดดและความร้อนได้ดีกว่ากระจกตัดแสงหรือม่ายและมู่ลี่ในอาคาร 7. พื้นและวัสดุที่ใช้ปูพื้นควรยกสูงและยกพื้นใต้ถุนให้สูงโปร่ง เพื่อเป็นการป้องกันความชื้นจากดิน และยกพื้นใต้ถุนสูงโปร่งโดยไม่ถมดินซึ่งจะช่วยให้รู้สึกเย็นสบายขึ้น เพราะจะเกิดลมหมุนเวียนที่ใต้ถุนบ้านและบนบ้านทำให้ส่วนอยู่อาศัยเย็นขึ้น 8. ลานบ้านในทิศทางลมพัดเข้ามาให้หลีกเลี่ยงการทำลานคอนกรีต เพราะจะกลายเป็นแหล่งผลิตความร้อนเข้ามาภายในบ้าน ถ้าเป็นไปได้พยายามหาทางปลูกต้นไม้หรือทำเป็นสนามหญ้าแทน 9. เปิดทางให้ลมพัดผ่านเข้ามาในบ้านได้ ลมหน้าร้อนพัดมาจากทางทิศใต้และทิศตะวันตกเฉียงใต้ ส่วนลมหน้าหนาวพัดมาจากทางทิศเหนือและทิศตะวันออกเฉียงเหนือ การลดอุณหภูมิความร้อนในบ้านจะต้องเจาะหรือเปิดช่องให้ลมเข้าออกในบ้านโดยให้สอดคล้องกับทิศทางลมในช่วงฤดูร้อนเป็นสำคัญ ทั้งนี้การเปิดช่องให้ลมบ้านเข้าได้ทุกครั้งต้องไม่ลืมเจาะช่องทางให้ลมมีทางออกด้วย ลมถึงจะเข้าบ้านได้ 10. การตัดเล็มใบไม้กิ่งไม้ที่ขวางทางลม และแต่งต้นไม่เพื่อช่วยนำลมเข้ามา จะต้องทำการสำรวจทิศทางลม และตัดแต่งกิ่งไม้ใบไม้ที่บังลมที่จะเข้าสู่ในตัวบ้านนอกจากนั้นในบางสถานการณ์เรายังสามารถใช้การตัดแต่งต้นไม้ โดยทำเป็นแนวรั้วหรือทำเป็นแผงสำหรับปรับเปลี่ยนทิศทางลม ให้ไหลเข้ามาในทิศทางที่เราต้องการได้ด้วย 11. สร้างระบบระบายอากาศตามธรรมชาติขึ้นในบ้าน เพื่อช่วยถ่ายเทความร้อนออกจากบ้านกรณีอุณหภูมิภายนอกขึ้น โดยอาศัยแนวคิดที่อากาศร้อนจะขยายตัว มีความหนาแน่นต่ำจะเบาและลอยสูงขึ้น อากาศบริเวณโดยรอบที่เย็นกว่าและมีความหนาแน่นมากกว่าก็จะเคลื่อนเข้ามาแทนที่ สำหรับวิธีการที่นิยมทำกันก็คือ การทำช่องเปิดทั้งที่ตอนบนสุดของอาคารและส่วนล่างสุดของอาคาร ทั้งนี้เมื่ออุณหภูมิในบ้านสูง อากาศร้อนก็จะลอยสูงขึ้นออกไปจากบ้านทางปล่องระบายที่อยู่บนหลังคา และอากาศเย็นจะไหลเข้ามาทางช่องหน้าต่างที่อยู่ชั้นล่างของบ้านเข้ามาแทนที่ 12. การล่อให้ลมไหลเวียนเข้าสู่ภายในบ้านโดยใช้ลานด้านทิศเหนือและทิศใต้เพื่อสร้างความแตกต่างของอุณหภูมิอากาศ โดยให้ลานด้านหนึ่งอยู่ในร่มเงาเพื่อบรรจุความเย็นของอากาศไว้ให้มากที่สุด และลานอีกด้านหนึ่งปล่อยให้ถูกแสงแดดมากที่สุด เพื่อสร้างลำอากาศร้อนที่ลอยตัวสูงขึ้น เมื่อพื้นลานรับความร้อนอย่างเต็มที่แล้วก็จะดึงให้อากาศเย็นทางด้านที่เย็นไหลผ่านเข้าไปในตัวบ้านได้ 13. ตึกแถวที่มีดาดฟ้าเป็นพื้นซีเมนต์ให้ทำหลังคาครอบอีกชั้นหนึ่ง วิธีนี้ นอกจากจะช่วยลดความร้อนให้กับบ้านประเภทตึกแถวได้อย่างมีนัยสำคัญแล้ว ยังเป็นวิธีที่ช่วยให้สามารถใช้ประโยชน์พื้นที่ส่วนที่เป็นดาดฟ้าได้ดียิ่งขึ้นด้วย 14.ปรับพื้นที่การใช้สอยในบ้านให้สอดคล้องกับลมและแสงธรรมชาติเช่น ทิศตะวันออกที่รับแดดในช่วงเช้าตลอดปี ร้อนในช่วงสาย แต่จะเย็นลงในช่วงตอนเย็น ควรจัดทำเป็นห้องนอน ส่วนทิศตะวันตกซึ่งรับแดดช่วงบ่ายตลอดปีควรใช้เป็นห้องที่ใช้งานในระยะเวลาสั้น ๆ เช่น ห้องน้ำ ครัว ห้องเก็บของ หรือที่จอดรถ สำหรับทิศใต้ที่รับแดดในช่วงสายถึงบ่ายหรือเกือบตลอดทั้งวันเป็นระยะเวลาถึง 6 เดือน (กันยายน – มีนาคม) ซึ่งร้อนมากในตอนกลางวันและบ่าย ควรจัดทำเป็นห้องนอนมีระเบียงยื่นยาว ส่วนทิศเหนือซึ่งร่มเงาและเย็นเกือบตลอดปีก็นำมาทำห้องที่มีการใช้งานบ่อย ๆ เช่น ห้องพักผ่อนและรับประทานอาหาร ห้องรับแขก 15. เลือกสีทาอาคารให้เหมาะสมสีทาภายนอกอาคารควรใช้สีอ่อน เนื่องจากสีอ่อนมีคุณสมบัติในการสะท้อนความร้อนที่ดีกว่าสีเข้ม และป้องกันความร้อนเข้าสู่อาคารได้ดีกว่า ส่วนสีทาภายในอาคารทั้งส่วนที่เป็นเพดานและผนังห้องควรเป็นสีอ่อน โดยเน้นโทนเย็นเป็นสำคัญ เช่น สีฟ้า สีเขียวฟ้า สีครีมหรือเทาอ่อน เพราะเป็นสีที่มีอิทธิพลต่ออารมณ์ความรู้สึกของผู้อยู่อาศัย ที่มา: istyleproperty