31/10/2552 ชาลี จังวิจิตรกุล สร้างชื่อพรมไทย...ขยายตลาดต่างประเทศ เคยเป็นข่าวใหญ่ของวงการธุรกิจพรมเมื่อช่วงต้นปี 2550 ที่ผ่านมา หลังจากบริษัท อุตสาหกรรม พรม ไทย จำกัด (มหาชน) หรือที่รู้จักกันในชื่อ "พรมไทปิง" ตอบรับการเข้าถือหุ้นของกลุ่ม "เดป้า อินทีเรีย" ในบริษัท คิดเป็นสัดส่วน 24.9% มาครั้งนี้หนึ่งในแบรนด์ลีดเดอร์ของธุรกิจพรมอย่างไทปิงกำลังมีความเคลื่อนไหวที่น่าจับ ตาอีกครั้งจากการได้พันธมิตรทางธุรกิจจากต่างประเทศ "ดร.ชาลี จังวิจิตรกุล" กรรมการผู้จัดการ บมจ.อุตสาหกรรมพรมไทย ให้สัมภาษณ์ "ประชาชาติธุรกิจ" ถึงแผน การขยายตลาดนับจากนี้รวมถึงการตั้งรับแนวโน้มเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศที่คาดว่าจะชะลอตัวลง ในปีหน้า "ทิศทางของไทปิงในปีหน้าจะมุ่ง ขยายตลาดต่างประเทศมากขึ้น เป้าหมายคือแถบตะวันออกกลางและ ยุโรปตะวันออก ส่วนตลาดเอเชียและยุโรปคงวางเป้า แค่รักษายอดขายไว้" ดร.ชาลีบอกว่า ในมุมมองของบริษัทเชื่อ "ตะวันออกกลาง" ยังเป็นตลาดที่มีอนาคต ขณะเดียวกันการ แข่งขันก็รุนแรงมาก เท่าที่ทราบประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์หรือยูเออี ตั้งใจจะพัฒนาดูไบให้เป็นฮับการลงทุน ประกอบด้วยแหล่ง ท่องเที่ยว ศูนย์กลางการเงินการลงทุน และการบริการทุกรูปแบบ เป้าหมายในปีหน้าวางเป้าการส่งออกพรมภายใต้แบรนด์ Royal Thai ไว้เกือบ 60% จากเป้าประมาณการ ยอดขายรวมกว่า 700-800 ล้านบาท ซึ่งเป็นการเพิ่มสัดส่วนยอดขายต่างประเทศได้เร็วกว่าที่ ตั้งเป้าไว้ จากเดิมที่ วางเป้าไว้ภายในปี 2554 เพราะเมื่อเร็วๆ นี้บริษัทได้ "Couristan" (คูริสทัน) ผู้จำหน่ายพรมรายใหญ่ของ อเมริกา เข้ามาเป็นพันธมิตรทางธุรกิจ ทำให้บริษัทมีรายได้จากต่างประเทศเพิ่มขึ้น ดีลนี้เกิดจากทางคูริสทันต้องการย้ายฐานการผลิตพรมแบบทอด้วยเครื่องมา ยังประเทศไทย ซึ่งมีค่าแรง ถูกกว่า ดยการันตีการจ้างผลิตสินค้าให้ปีละ 3-5 แสนหลา เป็นระยะเวลาต่อเนื่อง 10 ปี พร้อมออปชั่นซื้อผ่อน เครื่องจักรทอพรมจากคูริสทัน 14 เครื่องด้วย คาดว่าในปีหน้าสัดส่วนการส่งออกจะแยกเป็นตลาดตะวันออกกลาง 25% อเมริกา 30% ยุโรป 20% เอเชีย 15% และยุโรปตะวันออก (ประเทศที่แตกออกจากสหภาพโซเวียตเดิม) ซึ่งเป็นตลาดใหม่ 10% สำหรับแนวทางการสร้างแบรนด์ ในตลาดต่างประเทศ "ดร.ชาลี" มั่นใจว่า ในตลาดพรมระดับไฮเอนด์ แบรนด์ Royal Thai อยู่ในระดับที่แข่งขันได้ เพราะวิธีการของบริษัทคือคัดสรรและเลือกใช้วัตถุดิบเกรดเอที่มี คุณภาพสูงจากทั่วโลก เช่น ขนแกะจากประเทศนิวซีแลนด์ สีย้อมจากยุโรป ฯลฯ เมื่อรวมกับเครื่องจักรและการใส่ เทคนิคเพิ่มเติม เช่น การใช้ผ้าไหมมาเป็นส่วนประกอบทอพรม ฯลฯ เชื่อว่า สู้คู่แข่งได้ แม้โดยเฉลี่ยราคาพรม Royal Thai จะสูงกว่าพรมจากจีน 20% แต่เรื่องราคาไม่ใช่ปัญหาสำหรับตลาดต่างประเทศ "อย่างล่าสุดตอนที่บารัก โอบามา หาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ เราได้รับว่าจ้างให้ผลิตพรมเพื่อ ใช้ตกแต่ง ในงานแถลงเพื่อหาเสียง" ส่วนตลาดในประเทศ "ดร.ชาลี" ยอมรับว่าหากนับรวมยอดขายพรมประเภทพรมแผ่น บริษัทยังเป็นรอง คู่แข่งอย่าง "คาร์เปท อินเตอร์" ซึ่งมีสินค้าครบเครื่องทั้งพรมทอมือ ทอเครื่อง และพรมทอแผ่น อย่างไรก็ตาม ใน แง่ของพรมทอมือและพรมทอเครื่องเชื่อว่าไทปิงไม่เป็นรอง ที่ผ่านมาไทปิงจึงเลือกใช้วิธีนำเข้าพรมแผ่นจากต่างประเทศเข้ามาจำหน่ายแทนการผลิตเอง แต่ปัญหา อุปสรรคคือต้องเจอกับกำแพงภาษีนำเข้า 30% ทำให้เจอปัญหาการแข่งขันราคาในตลาด กับบทสรุปของ บมจ.อุตสาหกรรมพรมไทยในอนาคตอีก 3 ปีนับจากนี้ "ดร.ชาลี" สรุปว่าจะเห็นการ เปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอนโดยเฉพาะการเติบโตในตลาดต่างประเทศ พร้อมๆ กับการมียอดขายแตะ 1,000 ล้าน บาท ภายใน 3 ปีข้างหน้า หรือมียอดขายเติบโตขึ้นเกือบ 50% จากปี 2550 ที่ผ่านมามียอดขายประมาณ 700 ล้าน บาท แม้ว่าแนวโน้มตลาดทั้งในและ ต่างประเทศในปีหน้าอาจไม่สดใส โดยผลกระทบจะเห็นชัดเจนมากขึ้น ตั้งแต่ ช่วงกลางปีหน้า แต่ผู้บริหารของ บมจ.อุตสาหกรรมพรมไทยยังมีความหวังลึกๆ ว่าวิกฤตเศรษฐกิจโลกรอบ นี้น่าจะ ฟื้นตัวได้รวดเร็วกว่าครั้งปี 2540>