31/10/2552

ส่งออกเฟอร์นิเจอร์เจ๊ง

นายจิรวัฒน์ ตั้งกิจงามวงศ์ เลขาธิการกลุ่มเฟอร์นิเจอร์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ขณะนี้มี ผู้ประกอบการเฟอร์นิเจอร์บางรายเริ่มปิดกิจการแล้ว โดยเฉพาะผู้ทำงานตามคำสั่งซื้อจากต่างประเทศ เนื่องจาก เวลานี้คำสั่งซื้อจากต่างชาติ โดยเฉพาะจากตลาดหลัก เช่น สหรัฐอเมริกา ยุโรป และญี่ปุ่น กำลังได้รับผลกระทบ จากวิกฤตเศรษฐกิจมาก จนทำให้ยอดการใช้และการสั่งซื้อน้อยลง “ปัจจุบันมีผู้ผลิตเฟอร์นิเจอร์ส่งออกประมาณ 1,700 ราย โดยในจำนวนนี้ 10% เป็นผู้ส่งออกทำตาม คำสั่งซื้อและเป็นเอสเอ็มอีเกือบทั้งหมด ซึ่งกลุ่มนี้กำลังได้รับความเดือดร้อนจากวิกฤตเศรษฐกิจและส่งออก จน ทำให้หลายรายเริ่มปิดตัวแล้ว รวมถึงเรื่องแรงงานมีการยกเลิกจ้างบ้าง แต่ส่วนใหญ่จะเป็นการเลิกจ้างแรงงานต่าง ด้าวก่อน แต่แรงงานไทยจะเลิกจ้างทีหลัง เพราะส่วนใหญ่มีฝีมือ และอุตสาหกรรมก็พยายามรักษาไว้ อย่างไรก็ ตามถ้าธุรกิจแย่ ลงอีกก็อาจถึงขั้น เลิกจ้างได้” นาย จิรวัฒน์ กล่าว นอกจากนี้ ปัญหาเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ได้ส่งผลกระทบต่อธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ส่งออกเป็นอย่างมาก จาก เดิมที่คาดว่าปีนี้จะขยายตัวได้ 3-4% แต่ในปัจจุบันยอดขายกลับติดลบถึง 1-2% โดยขณะนี้เหลือแต่ผู้ประกอบการ รายใหญ่ที่มีคำสั่งซื้อทยอยเข้ามา ส่วนรายเล็กกำลังลำบากหนัก แทบจะอยู่ไม่ได้ เพราะมีคำสั่งซื้อมาน้อยมาก ทำ ให้คาดว่าปีหน้าการส่งออกเฟอร์นิเจอร์คงไม่ขยายตัว หรือเติบโตเท่ากับศูนย์ “การส่งออกเฟอร์นิเจอร์ใน ปีหน้า ไม่เติบโตแน่ ซึ่งเป็นวิกฤตหนักกว่าปี 2540 สมัยต้มยำกุ้งเสียอีก แต่ ยังมีปัจจัยบวกจากเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน และต้นทุนวัตถุดิบจากราคาน้ำมันที่ลดลง ประกอบการคู่แข่งขันของไทย เช่นเฟอร์นิเจอร์จากจีน ยุโรป ก็ได้รับผลกระทบเหมือนกับไทยด้วย จึงทำให้ผู้ส่งออกมีทางเลือกในการปรับตัว บ้าง” นายจิรวัฒน์ กล่าว อย่างไรก็ตาม ผู้ส่งออกบางกลุ่มก็กำลังปรับตัวแล้ว ด้วยการเปลี่ยนจากการรับจ้างผลิตตามคำสั่งซื้อหรือ โออีเอ็ม ไปเป็นสร้างตราสินค้า (แบรนด์) ของตัวเอง และพัฒนา รูปแบบเฟอร์นิเจอร์ เพื่อสร้างจุดขายในการ แข่งขันกับเพิ่มมูลค่าในการส่งออก ขณะเดียวกันพยายามลดค่าใช้จ่ายในหลายส่วน พร้อมทั้งทำตลาดโดยยึด หลักการรักษาสิ่งแวดล้อม เพื่อตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าระดับสูง นอกจากนี้ บางรายยังปรับตัวด้วยการหันไปรับงานเหมา ตกแต่ง เฟอร์นิเจอร์ให้กับโครงการใหญ่ เช่น โครงการคอนโดมิเนียม ซึ่งแม้จะมีรายได้สูง แต่หากเจาะตลาดกลุ่มนี้ก็ต้องเสี่ยงกับเกิดปัญหาเงินหมุนเวียนที่ต้อง ใช้เงินลงทุนจำนวนมาก อีกทั้งไม่รู้ว่าโครงการดังกล่าวจะสามารถโอนให้กับลูกค้าได้เร็วหรือไม่ เนื่องจากสถาบัน การเงินคุมเข้มการปล่อยสินเชื่ออีกด้วย>