ต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา "อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์" ได้ฤกษ์เปิดตัวแฟรนไชส์สาขาแรกที่เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์อย่างเป็นทางการ หลังจากเริ่มทดลองเปิดให้บริการมาตั้งแต่ปลายเดือนกรกฎาคม 2552 แม้ภาพรวมอสังหาริมทรัพย์ในดูไบจะชะลอตัวจากวิกฤตเศรษฐกิจโลก แต่ยังเป็นตลาดได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบเพียงเล็กน้อยและน่าสนใจ ที่ผ่านมา อสังหาฯ ทั้งประเภทที่อยู่อาศัยและศูนย์การค้า ขยายตัวแบบก้าวกระโดด อย่างปีที่ผ่านมา ดูไบมียอดโอนที่อยู่อาศัย 6-8 หมื่นยูนิต ส่วนในภาพรวมงานก่อสร้างปีนี้มีเพียง 20% ที่ชะลอออกไป ส่วนอีก 80% ยังคงดำเนินการตามปกติ ถือเป็นจุดที่ทำให้อุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์และของแต่งบ้านมีโอกาส ขยายตัวได้อีกมาก "อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์" จึงตัดสินใจเลือก "ดูไบ" เปิดเกมบุกตลาดเฟอร์นิเจอร์ของแต่งบ้านในต่างแดน โดยมี "Retail Is Retail" บริษัทลูกของ "Gill Capital" จากสิงคโปร์ ที่มีประสบการณ์บริหารธุรกิจค้าปลีกมากว่า 30 ปี โดยเฉพาะสินค้าเสื้อผ้าแบรนด์ชั้นนำ อาทิ Zara, BeBe, Massimo Dutti, Ted Baker ฯลฯ เป็นลูกค้าแฟรนไชส์รายแรก "ในดูไบมีศูนย์การค้าใหม่ๆ เกิดขึ้นมาก เดิมไม่มีใครรู้จักแบรนด์อินเด็กซ์ พอเปิดให้บริการ ได้เข้ามาสัมผัส มีห้างหลายแห่งสนใจ เพราะต้องการแม็กเนตดึงคนเข้ามาใช้บริการ บริษัทมั่นใจว่าเราเป็นแม็กเนตได้ หลังทดลองเปิดบริการช่วง 5 วันแรก มีลูกค้าหมุนเวียนเข้ามาใช้บริการวันละกว่า 10,000 คน โดยเฉพาะวันหยุดจะเพิ่มขึ้นมากเป็นพิเศษ และลูกค้า 85% ซื้อของติดมือกลับไป" พิศิษฐ์ ปัทมสัตยาสนธิ ประธานบริษัท"อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์" กล่าว อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ ตั้งอยู่ภายใน "ดูไบมอลล์" (The Dubai Mall) แหล่งช็อปปิ้งและบันเทิงใหญ่ที่สุดในโลก ที่กำลังเป็น "ทอล์กออฟเดอะทาวน์" ของดินแดนตะวันออกกลาง มีพื้นที่ขายสินค้า 5,000 ตร.ม.ใช้งบฯลงทุน 150 ล้านบาท ติดอันดับ 1 ใน 3 ของร้านค้าปลีกในดูไบมอลล์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด เป็นรองแค่ "Galeries Lafayette" ผู้เช่าพื้นที่จากประเทศฝรั่งเศส และ "Bloomingdale Home" จากสหรัฐ ดูไบมอลล์มีพื้นที่รวม 1 ล้าน ตร.ม. ในจำนวนนี้เป็นพื้นที่ขายสินค้า 4.5 แสน ตร.ม. คิดเป็นจำนวนร้านค้า 2,500 ร้าน รองรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกได้ปีละ 30 ล้านคน เดิมมีแบรนด์เฟอร์นิเจอร์ทำตลาดอยู่ 2 ราย ประกอบด้วย "ไอเกีย" แบรนด์เฟอร์นิเจอร์ชั้นนำจากสวีเดน และ "โฮมเซ็นเตอร์" ของกลุ่มทุนท้องถิ่น โดยอินเด็กซ์ฯวางกลยุทธ์ "อีโมชั่น นอลมาร์เก็ตติ้ง" สร้างโอกาสทางการตลาดจากความต่างของสินค้า สีสันสดใสทันสมัย ผลงานการออกแบบของดีไซเนอร์ระดับโลกและชาวไทย เน้นจัดแสดงสินค้าและบรรยากาศร้านให้เกิดอารมณ์อยากจับจ่าย และบริการแบบไทยๆ ที่ใครก็ประทับใจ ส่วนรูปแบบมอลล์ ชูจุดแข็งภายใต้ คอนเซ็ปต์ "วันสต็อปช็อปปิ้ง" ศูนย์เฟอร์นิเจอร์และของแต่งบ้านครบวงจร มีสินค้าให้เลือก 3,000-5,000 เอสเคยู (รายการ) แบ่งเป็นของแต่งบ้าน 70% และเฟอร์นิเจอร์ 30% พร้อมทีมให้บริการวางแผนตกแต่งด้วยโปรแกรมออกแบบห้องแสดงภาพเป็น 3 มิติ มุม "สลิปปิ้งคลินิก" (sleeping clinic) มีผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพการนอนให้คำปรึกษาการเลือกเตียง-ที่นอนอย่างถูกต้อง นอกจากรูปแบบการตกแต่งและจัดวางสินค้าที่ถอดแบบมาจากอินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ในไทย อินเด็กซ์ฯยังนำแคมเปญการตลาด "4 JOY" ประกอบด้วย Joy Price, Joy Design, Joy Quality และ Joy Service ไปใช้ที่นั่นด้วย กลยุทธ์การสื่อสารการตลาดในช่วงแรกของการแนะนำสินค้าเข้าสู่ตลาดเป้าหมายคือสร้างการรับรู้แบรนด์ให้เป็นที่รู้จักในเวลาอันรวดเร็ว จะเน้นทั้งสื่อโฆษณา สิ่งพิมพ์ สื่อกลางแจ้ง และกิจกรรมการตลาด ประธานบริษัทอินเด็กซ์ฯบอกถึง เป้าหมายว่า สำหรับสาขาดูไบ ตั้งเป้า ยอดขายในปีแรก 40 ล้านเหรียญสหรัฐ นอกจากนี้ เพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจแฟรนไชส์ บริษัทมีแผนขยายกำลังการผลิตโรงงานที่มหาชัย (จังหวัดสมุทรสาคร) และการขยายสาขาแฟรนไชส์อย่างต่อเนื่อง คาดว่าถึงสิ้นปีนี้รายได้จากการส่งออกจะขยายตัวประมาณ 5-7% จากปัจจุบันมีรายได้จากการส่งออกคิดเป็นสัดส่วนเกือบ 1 ใน 3 ขณะที่ "ซันเวียร์กิล" กรรมการฝ่ายโอเปอเรชั่นและเมอร์แชนไดซิ่ง (operations and merchandising) ของบริษัท "Retail Is Retail" ในเครือ "Gill Capital" ซึ่งรับผิดชอบดูแลการลงทุนในแถบตะวันออกกลางทั้งหมด ระบุว่าอินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ในดูไบ ถือเป็นแฟลกชิป (ต้นแบบ) การขยายสาขากลุ่มประเทศตะวันออกกลาง คาดว่าจะถึงจุดคุ้มทุนภายใน 1 ปี จากนั้นจะขยายสาขาต่อไปที่เมือง "อาบูดาบี" พื้นที่ประมาณ 1 หมื่น ตร.ม. และประเทศ "บาห์เรน" พื้นที่ 7,000 ตร.ม. ตั้งเป้าว่าภายใน 3-5 ปีข้างหน้าจะต้องขยายสาขาในกลุ่มประเทศตะวันออกกลางให้ครบ 10 แห่ง เฉลี่ยมีพื้นที่สาขาละ 5,000-10,000 ตร.ม. ใช้งบฯลงทุนต่อสาขากว่า 150 ล้านบาท หรือรวมแล้วกว่า 2,000 ล้านบาท และสนใจลงทุนเปิดสาขาในสิงคโปร์และมาเลเซียด้วย ถือเป็นการขยับรุกที่น่าจับตาไม่น้อย !>