19/05/2554 อาคารสูงหันใช้อิฐมวลเบารับมือภัยแผ่นดินไหว ดันยอด‘ซุปเปอร์บล๊อก’ทะลัก นายโยธิน อึ่งกูล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ซุปเปอร์บล๊อค จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า ปัจจุบันกำลังการผลิต อิฐมวลเบาในตลาดรวมมีจำนวน 25 ล้านตารางเมตร (ตร.ม.) โดยบริษัทฯ มีกำลังการผลิตรวมที่ 4.3 ล้าน ตร.ม. ในขณะที่ความต้องการใช้อิฐมวลเบาในปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 12-13 ล้านตารางเมตร ส่วนปีนี้คาดว่าความต้องการใช้ อิฐมวลเบาในตลาดรวมจะเพิ่มสูงขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 16 ล้าน ตร.ม.เนื่องจากในปี 2554 นี้ความต้องการใช้อิฐมวลเบา ขยายตัวค่อนข้างมากโดยเฉพาะหลังเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวทำให้กลุ่มผู้ประกอบการคอนโดมิเนียมหันมาใช้ อิฐมวลเบาในการก่อสร้างอาคารสูงมากขึ้น "กรณีการเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวในช่วงที่ผ่านมาทำให้เกิดความตื่นตัวในกลุ่มผู้ประกอบการอสังหาฯ และกลุ่ม ธุรกิจก่อสร้างให้หันมาใช้วัสดุก่อสร้างที่มีน้ำหนักเบาในการก่อผนังมากขึ้น เนื่องจากการใช้วัสดุก่อสร้างที่มี น้ำหนักมากในการก่อสร้างผนังอาคารนั้น จะได้รับผลกระทบจากแรงสั่นสะเทือนมากกว่าการใช้วัสดุที่มีน้ำหนัก เบา" นอกจากนี้ต้นทุนในการขนส่งยังเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้โครงการจัดสรรและลูกค้าทั่วไปหันมาใช้อิฐมวลเบาใน การก่อสร้างบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ เพิ่มมากขึ้น แม้ว่าต้นทุนด้านราคาของอิฐมวลเบาจะสูงกว่าอิฐมอญไปบ้าง แต่ ด้วยคุณภาพที่ดีกว่า และต้นทุนค่าขนส่งที่ลดลงทำให้ความต้องการอิฐมวลเบาเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ บริษัทมีแผนการลงทุนก่อสร้างโรงงานผลิตใหม่เพิ่มอีกหนึ่งโรง ซึ่งอยู่ในแผนเดิมที่วางไว้โดย พิจารณาใน จ.พังงา แต่ด้วยข้อจำกัดของทำเลที่ตั้งที่จะก่อสร้างประกอบกับความต้องการในตลาดยังทรงตัว ต่าง กับพื้นที่ในภาคอีสานที่เติบโตอย่างมาก ทำให้บริษัทมีแผนย้ายที่ตั้งโรงงานไปยังภาคอีสาน เพื่อรองรับความ ต้องการของตลาดที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันนี้บริษัทมีรายได้หลักๆ จากการขายในพื้นที่ กทม.70% และภาคเหนือ ภาคใต้ และภาคอีสาน อย่างละ 10% โดยสัดส่วนการขายหลักกว่า40% มาจากโครงการ ที่เหลืออีก 60%ขายผ่านตัวแทนจำหน่ายและลูกค้าราย ย่อยอย่างละครึ่ง ทั้งนี้ ในปีที่ผ่านมาบริษัทมียอดขายรวม 1.6 ล้าน ตร.ม.คิดเป็นมูลค่ารวม 300 ล้านบาท ส่วนเป้าการขายในปีนี้คาด จะเติบโตขึ้น 30% หรือมียอดขายรวม 2 ล้าน ตร.ม. นอกจากนี้ ในช่วงไตรมาสแรกทางบริษัทฯ ได้ขยับราคาขาย อิฐมวลเบา 5-7% ตามต้นทุนวัตถุดิบหลัก คือ ปูนขาว ที่ราคาขึ้นมาเกือบเท่าตัวในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา และคาดว่า ภายในไตรมาส 3 จะปรับขึ้นสูงอีกครั้ง