28/07/2554 ห้าห่วง Big Changeสมเกียรติ วงมาเจริญสิน เราเลิกใช้แร่ใยหินแล้ว พลันคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 12 เมษายน2554 สั่งห้ามนำเข้าแร่ใยหินและผลิตภัณฑ์เฉพาะกรณี รวมถึงผลิตภัณฑ์อื่นที่มีส่วนประกอบของแร่ที่ใช้เป็นวัตถุดิบ จังหวะนี้เองที่ทำให้วงการผู้ผลิต"กระเบื้องหลังคาไฟเบอร์ซีเมนต์"ที่มีมูลค่าตลาดรวมกว่า 10,000 ล้านบาท สะเทือนทันที จะสะเทือนมากสะเทือนน้อย ก็ขึ้นอยู่กับการปรับตัวของผู้ประกอบการแต่ละค่าย โอกาสนี้ "ประชาชาติธุรกิจ" จึงขอเปิดใจ "สมเกียรติ วงมาเจริญสิน"ผู้อำนวยการธุรกิจหลังคา บริษัท โอลิมปิคกระเบื้องไทย จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายหลังคาตรา "ห้าห่วง" ในฐานะผู้นำทัพสินค้ากระเบื้องหลังคา โดยเฉพาะ "วันนี้ เทรนด์ธุรกิจเปลี่ยนไปแล้วที่ผ่านมา วัสดุก่อสร้างเป็นอีกสินค้าหนึ่งที่ต้องปรับตัวมาก ๆ เพราะ กระแสโลกร้อน เพราะสังคมห่วงใยสิ่งแวดล้อมและความเป็นอยู่ของผู้คน ฉะนั้นกลุ่มผู้ผลิตหลังคาทั้งตลาดจึง ต้องเร่งปรับตัว อย่างกลุ่มมหพันธ์ถือว่าอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน เปลี่ยนทั้งแง่คิดและการผลิตทั้งหมด" ฉะนั้น ภารกิจของกระเบื้องตราห้าห่วง ซึ่งเป็นแบรนด์ที่แข็งแรงอยู่แล้วเราจึงเร่งหันมาปรับกระบวนการ ผลิตโดยไม่ใช้แร่ใยหิน เพื่อก้าวไปสู่ผู้ผลิตสินค้าที่เป็นกรีนโปรดักต์ "สมเกียรติ" เล่าว่า จริง ๆ แล้วกลุ่มมหพันธ์ได้ปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีการผลิตกระเบื้อง ด้วยการใช้วัตถุดิบ จากเส้นใยธรรมชาติและใยสังเคราะห์ทดแทนแร่ใยหินมาตั้งปี 2549 เพื่อตอบสนองนโยบายภาครัฐที่จะผลักดัน ให้ไทยเป็นสังคมที่ปลอดใยหิน 100%ภายในสิ้นปี 2555 โดยใช้งบประมาณลงทุนไป 100 ล้านบาท หรือคิดเป็น สัดส่วน 10% ของมูลค่าเครื่องจักร ซึ่งเราได้เริ่มรันการผลิตตามไลน์ผลิตใหม่มาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา และนวัตกรรมนี้จะมีจุดเด่นที่เป็นจุดขายและถือเป็นจุดแข็งด้วย ก็คือทำให้สินค้ามีความทนทานต่อการ เปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศในปัจจุบันมากกว่า 3 เท่า "การปรับตัวของกระเบื้องห้าห่วงในรอบนี้ถือว่าเป็น big change ที่มีความท้าทายอย่างมาก ทำให้เราเกิดการ เรียนรู้ แม้ต้องแบกรับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นแต่เราก็ยังขายสินค้าในราคาเดิม สำคัญที่สุด คือเราต้องการก้าวข้ามความ เสี่ยงในประเด็นผลกระทบต่อผู้บริโภค ที่ยังไม่มีข้อพิสูจน์แน่ชัดว่า กระเบื้องที่ผลิตจากแร่ใยหิน ทำให้เกิดมะเร็ง จริงหรือเปล่า เราไม่อยากรอ แต่เราขอปรับตัวไปก่อน" ด้านมุมการรับรู้ในวงกว้างเกี่ยวกับสินค้าปลอดใยหินในภาคประชาชน"สมเกียรติ" ยอมรับแบบไม่อ้อม ค้อมว่าอยู่ในระดับต่ำมาก เมื่อเทียบกับการรับรู้ของผู้บริโภคในต่างประเทศ เพราะบ้านเราขาดการประชาสัมพันธ์ ของภาครัฐที่ยังไม่ทั่วถึงมากนัก เพระมองว่าผลกระทบจากใยหินมีความสำคัญน้อยกว่าปัญหาเหล้าและบุหรี่ ที่ มีผลกระทบต่อผู้บริโภคในวงกว้างมากกว่า ขณะเดียวกัน ยังมีเรื่องของความไม่ชัดเจนในข้อมูลที่ออกมาอย่างต่อเนื่องในระยะที่ผ่านมา ได้สร้างความ สับสนอยู่มาก สิ่งที่ทำได้ขณะนี้ คือบริษัทได้จัดสัมมนาให้ความรู้กับดีลเลอร์และซับดีลเลอร์ที่มีอยู่ทั่วประเทศกว่า 4,000 ราย พยายามชี้ให้เห็นถึงจุดเด่นของกระเบื้องหลังคาปลอดใยหินที่ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพผู้ใช้ และแข็งแรง ทนทานไม่ต่างจากกระเบื้องหลังคาที่มีแร่ใยหินแบบเดิม สำหรับภาพรวมการแข่งขันของกระเบื้องหลังคาในขณะนี้ "สมเกียรติ"กล่าวว่า ตลาดมีการแข่งขันรุนแรง มากส่วนใหญ่เป็นการเล่นสงครามราคาเพื่อให้ขายสินค้าได้มากที่สุด โดยมูลค่าตลาดรวมในปัจจุบันอยู่ที่10,000 ล้านบาทบริษัทมีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับหนึ่งอยู่ที่ 38% ของตลาดรวม มีกำลังการผลิตรวมประมาณ 1 แสน ตันต่อปี ขณะที่อีก3 รายก็มีกำลังการผลิตลดหลั่นกันไป ส่วนประมาณการยอดขาย"สมเกียรติ" บอกว่า เฉพาะกลุ่มกระเบื้องอย่างเดียวตั้งไว้ที่ 4,200 ล้านบาท ใกล้เคียงกับปีก่อน เนื่องจากการรับรู้เรื่องกระเบื้องปลอดใยหินในมุมมองผู้บริโภคยังไม่กว้างขวางมากนักทำให้ บริษัทต้องโฟกัสไปที่การรักษามาร์เก็ตแชร์ และรักษาฐานลูกค้าเดิมไว้ไม่ให้ตก ถามถึงนโยบายรัฐบาลชุดใหม่"สมเกียรติ" บอกว่า ดูในระยะสั้นถือว่าเป็นสิ่งที่ดี เพราะทำให้เศรษฐกิจเกิด การขับเคลื่อน แต่ระยะยาวต้องให้ผู้รู้วิเคราะห์และต้องหาวิธีทำให้เกิดความยั่งยืน ทั้งนโยบายการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทแต่ที่น่าห่วง คือกลุ่มผู้ประกอบการเอสเอ็มอี