02/02/2555 ถอดรหัส แร่ใยหิน-ไครโซไทล์ ประเด็นร้อนอุตสาหกรรม กระเบื้องหลังคา ยังคงเป็นประเด็นร้อนในวงการกระเบื้องหลังคา หลังจากภาครัฐมีความคิดจะห้ามใช้"แร่ไครโซไทล์"(Chrysotile) ซึ่งเป็นแร่ใยหินชนิดหนึ่งที่นำมาใช้ในกระบวนการผลิตกระเบื้อง มีคุณสมบัติช่วยเพิ่มความแข็งแรง เหนียว รับ น้ำหนักและแรงกระแทกได้ดี ที่สำคัญ...ราคาไม่แพง "ผู้ผลิต 4 ราย" ทั้งรักทั้งชัง ประเด็นนี้ถูกจุดเปรี้ยงขึ้นมาเมื่อ 12 เมษายน 2554 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการตามข้อเสนอของ กลุ่ม"สมัชชาสุขภาพ"ให้สังคมไทยปลอดจากการใช้ใยหิน เนื่องจากเชื่อว่าแร่ใยหินเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิด มะเร็งปอด หากฟุ้งกระจายในระหว่างการผลิตหรือมุงหลังคาไปแล้วและสูดดมเข้าไป แน่นอนว่าเป็นธรรมดาที่จะมีทั้งกลุ่มที่"คัดค้าน vs เห็นด้วย"ปัจจุบันอุตสาหกรรมหลังคาลอนคู่มีผู้ผลิตหลัก 4 ราย โดย 2 รายคือ "บจ.กระเบื้องหลังคาโอฬาร-บมจ.ผลิตภัณฑ์ตราเพชร"ที่ใช้ไครโซไทล์อยู่ได้คัดค้านเต็มตัว เพราะไม่เชื่อว่าจะก่อให้เกิดโรคมะเร็งปอด ขณะที่ผู้ผลิตอีก 2 รายที่เคยใช้แร่ใยหินคือ "บจ.กระเบื้องกระดาษไทย"ในเครือเอสซีจี เจ้าของแบรนด์ "ตรา ช้าง"ได้ลงทุนปรับกระบวนการผลิตเลิกใช้สารใยหินตั้งแต่เมื่อ 2-3 ปีก่อนตามนโยบายบริษัทที่ต้องผลิตสินค้าที่ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ กับ "บจ.โอลิมปิคกระเบื้องไทย"ในกลุ่มมหพันธ์ เจ้าของแบรนด์ "ห้าห่วง"ได้ทยอยเลิกใช้แร่ใยหินใน กระบวนการผลิตเมื่อปีที่ผ่านมา ตามนโยบายผลิตสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเช่นกัน นักวิชาการเอแบคออกโรงหนุน ล่าสุดมีความเคลื่อนไหวของ "ศูนย์ศึกษาข้อมูลไครโซไทล์"(Chrysotile Information Center) ที่ก่อตั้งได้ 2 ปี รับเงินสนับสนุนจากสมาคมไครโซไทล์นานาชาติที่มีผู้ผลิตไครโซไทล์ในต่างประเทศเป็นสมาชิก รับหน้าเสื่อโดยนักวิชาการ "หวัง อิงเหวย"หัวหน้าภาคสาขาเศรษฐศาสตร์ธุรกิจ คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (เอแบค) ได้ออกมานำเสนองานวิจัยเรื่อง "ผลกระทบทางสังคมและเศรษฐกิจ หากยกเลิก การใช้สารไครโซไทล์"เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจของภาครัฐว่า ที่สุดควรจะเลิกใช้ไครโซไทล์หรือไม่ เป็นที่สังเกตว่าในงานนี้มี "อัศนีชันทอง"กรรมการผู้จัดการ บมจ.ผลิตภัณฑ์ตราเพชร และ"อุฬาร เกรียว สกุล"กรรมการผู้จัดการ บจ.กระเบื้องโอฬาร มาร่วมฟังงานวิจัยด้วย งานวิจัยของ "อาจารย์หวัง" ระบุว่านับจากปี 2528-2553 มีการนำเข้าแร่ไครโซไทล์แล้วกว่า 3.2 ล้านตัน ถูก นำไปใช้ในอุตสาหกรรมผลิตกระเบื้องหลังคา 90% ผลิตผ้าเบรกและคลัตช์ 8%และผลิตวงแหวนลูกสูบอีก 2% โฟกัสเฉพาะหมวดสินค้าที่เกี่ยวข้องกับที่อยู่อาศัยอย่าง "กระเบื้องหลังคา"จากงานวิจัยพบว่าปัจจุบันมีบ้าน ทั่วประเทศที่มุงหลังคาลอนคู่ 17.34 ล้านหลังคาเรือน คิดเป็นพื้นที่มุงหลังคาประมาณ 1,734 ล้านตารางเมตร เฉลี่ย หลังละ 100 ตารางเมตร หากมีการออกกฎให้เลิกใช้และบังคับให้รื้อหลังคาที่มีไครโซไทล์ออกเหมือนที่เคยเกิดขึ้นในประเทศ สหรัฐอเมริกา จะเกิดผลกระทบต่อค่าใช้จ่าย (ค่าแรง+หลังคา)รวมประมาณ 450,970 ล้านบาท และหากนับรวมถึง การมุงหลังคาในฟาร์มเลี้ยงหมู โรงเรียน และโรงพยาบาล จะเพิ่มขึ้นเป็น 464,000 ล้านบาท เสนอรัฐทบทวน "ไครโซไทล์" งานวิจัยยังระบุด้วยว่า แร่ใยหินในปัจจุบันแบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกคือ"amphibole"(แอมฟิโบล) ใน เมืองไทยห้ามไม่ให้ใช้มานานกว่า 50 ปีแล้วเนื่องจากมีเส้นใยแข็งและมีผลศึกษาว่าทำอันตรายต่อปอดได้จริง ส่วนกลุ่มที่ 2 คือ "serpentine"(เซอร์เพนไทน์) ซึ่ง "ไครโซไทล์" เป็นหนึ่งในแร่ใยหินกลุ่มนี้ จากการค้นคว้า ข้อมูลพบว่า ยังไม่มีผลการศึกษาทั้งในและต่างประเทศที่ยืนยันชัดเจนว่าเป็นสาเหตุของโรคมะเร็งปอด ตัวอย่างในต่างประเทศมีทั้งประเทศที่ "ห้าม vs ไม่ห้าม"ใช้แร่ใยหิน อย่างประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรปได้ ห้ามใช้แร่ใยหินทุกกลุ่ม ขณะเดียวกันก็มีข้อสังเกตว่าพี่เบิ้มอย่างสหรัฐอเมริกาซึ่งเคยห้ามใช้แร่ใยหินมาแล้ว แต่ เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาได้ยกเลิกการบังคับเพราะยังไม่มีผลการศึกษาชัดเจนว่าเป็นต้นเหตุของโรคมะเร็งปอด รัฐบาลจึงควรตั้งคณะทำงานเพื่อศึกษาผลกระทบจากแร่ใยหินอย่างจริงจังเพื่อประกอบการพิจารณาว่า จำเป็นหรือไม่ที่จะต้องเลิกใช้ไครโซไทล์หรือไม่ "ตราเพชร-โอฬาร" ค้านเต็มที่ ขณะที่ผู้ผลิต 2 รายคือ บมจ.ผลิตภัณฑ์ตราเพชร และ บจ.กระเบื้องโอฬารที่มาร่วมฟังงานวิจัย แสดงท่าที หนักแน่นไม่เห็นด้วยที่จะเลิกใช้แร่ใยหินเพราะยังไม่มีความชัดเจนเรื่องก่อให้เกิดมะเร็งปอด พร้อมทั้งชี้ว่าต้องมองผลกระทบให้รอบด้านเพราะหากต้องเปลี่ยนมาใช้เซลลูโลส และ PVA เป็นวัตถุดิบ ทดแทนในการผลิตจริง ผู้บริโภคจะต้องซื้อสินค้าแพงขึ้นเท่าตัวจากปัจจุบันแผ่นละประมาณ 30 บาท เป็น 60 บาท เนื่องจากกระเบื้องปลอดแร่ใยหินจะต้องผลิตให้หนาเพิ่มขึ้นจาก 4 มิลลิเมตรเป็น 5 มิลลิเมตร เนื่องจากเซลลูโลส และ PVA ไม่ได้มีคุณสมบัติเรื่องความแข็งแรงเทียบเท่าไครโซไทล์ งานนี้จะเลิกหรือไม่เลิกใช้ไครโซไทล์บรรทัดสุดท้ายไม่ใช่ "ผู้ผลิต" แต่"ผู้บริโภค" ต้องมีส่วนตัดสินด้วย มองต่างมุม...คุมแร่ใยหิน การบังคับเลิกใช้แร่ใยหินที่เป็นประเด็นขึ้นมาตั้งแต่ปีที่ผ่านมา ถือว่าไม่ใช่เรื่องใหม่ที่เพิ่งถูกจุดประเด็นเมื่อ ปีที่ผ่านมา แหล่งข่าวจากผู้ผลิตกระเบื้องรายหนึ่งระบุว่า ที่จริงเรื่องการจะยกเลิกใช้แร่ใยหินในกระบวนการผลิต กระเบื้องหลังคามีการพูดคุยกันในกลุ่มผู้ผลิตมาตั้งแต่เมื่อประมาณ 5 ปีก่อน เพื่อให้เวลาเตรียมตัว เพราะการจะ ปรับเปลี่ยนมาใช้วัตถุดิบทดแทนอย่างเซลลูโลสและ PVA จะต้องใช้งบฯลงทุนปรับเปลี่ยนเครื่องจักรบางส่วน โดยมองว่า เมื่อแร่ใยหินอย่างไครโซไทล์ยังมีความคลุมเครือว่ามีผลต่อการเกิดมะเร็งปอดหรือไม่ ที่สุดวัน หนึ่งก็น่าจะต้องถูกห้ามใช้ อย่างในกระบวนการผลิตสินค้าวัสดุทดแทนไม้ในกลุ่ม "ไม้สังเคราะห์"และ "ซีเมนต์บอร์ด"ซึ่งใช้ ปูนซีเมนต์และแร่ใยหินเป็นวัตถุดิบหลักคล้าย ๆกับกระเบื้องหลังคาลอนคู่ ปรากฏว่าในการลงทุนขยายไลน์กำลัง ผลิตใหม่อาทิ บมจ.ผลิตภัณฑ์ตราเพชรก็เลือกที่จะใช้เทคโนโลยีการผลิตที่เปลี่ยนจากแร่ใยหินมาเป็นเซลลูโลส แทน "เนื่องจากในอุตสาหกรรมกระเบื้องหลังคามีผู้ผลิตหลักเพียง 4 รายคือ ตราช้าง ห้าห่วง ตราเพชร และ โอฬาร เลยมีการพูดคุยเรื่องการเลิกใช้แร่ใยหินมานานแล้ว โดยที่ตราช้างหรือเอสซีจีเป็นคนเริ่มก่อน ล่าสุดก็คือห้า ห่วงของกลุ่มมหพันธ์"แหล่งข่าวระบุ ขณะที่แหล่งข่าวจากวงการวัสดุรายหนึ่งให้ความเห็นว่า ในฐานะคนกลางมองเรื่องการยกเลิกแร่ใยหินเป็น 2 มิติ ด้านแรกคือ เห็นได้ว่าระหว่างผู้ผลิตหลังคาที่ใช้แร่ใยหินอยู่และใช้เซลลูโลสกับ PVA จะมีต้นทุนการผลิต ต่างกัน 25-30% นั่นหมายความว่า จะมีความแตกต่างกันในเรื่องราคาสินค้า เรื่องนี้จะเป็นประเด็นหรือไม่ ไม่แน่ใจ ขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่งก็น่าสังเกตว่า หากแร่ใยหินไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพจริง ทำไมจึงมี ผู้ผลิต2 รายยอมลงทุนเปลี่ยนเครื่องจักร แต่ไม่ว่าจะเลิกหรือใช้แร่ใยหินได้อยู่ อยากให้ผลประโยชน์ตกกับผู้บริโภคมากที่สุด !