15/06/2555

UMI สยายปีกธุรกิจกระเบื้องทุ่ม400ล้านฮุบที.ที.เซรามิค

นางสาวปวีณา เหล่าวิวัฒน์วงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สหโมเสคอุตสาหกรรม จำกัด(มหาชน) หรือ UMI
เปิดเผยว่า คณะกรรมการบริษัท มีมติอนุมัติให้บริษัทฯเข้าลงทุนในบริษัทที.ที.เซรามิค จำกัด หรือ "TTC" ผู้ผลิต
และจำหน่ายกระเบื้องพอร์ซเลนรายใหญ่ของไทย ภายใต้แบรนด์ "เชอร์เกรซ" มีกำลังการผลิต 8 ล้านตารางเมตร
(ตร.ม.)/ปี เน้นผลิตกระเบื้องขนาด60x 60 ซม. ที่กำลังเป็นที่นิยมของตลาด เน้นกลุ่มลูกค้าระดับบน มียอดขาย
ประมาณ 800 ล้านบาท/ปี

การลงทุนในบริษัท ที.ที.เซรามิคฯ นั้น บริษัทยื่นเสนอเพื่อเข้าลงทุนในTTC ด้วยการซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุน
หลังเหตุเจ้าหนี้ยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการTTC ต่อศาล เมื่อ10 มี.ค. 54 และศาลได้มีคำสังให้ฟื้นฟูกิจการเมื่อ30 พ.ค.
54 โดยบริษัทได้เสนอแผนให้เพิ่มทุนจดทะเบียนจำนวน 500 ล้านบาท ซึ่งจัดสรรให้ UMI 400 ล้านบาท และ
แปลงหนี้เป็นทุนให้กลุ่มเจ้าหนี้สถาบันการเงิน 100 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท ดังนั้น UMI จะเป็นผู้ถือ
หุ้นรายใหญ่ใน TTC คิดเป็น 80% ของจำนวนหุ้น TTC ทั้งหมด ซึ่งขณะนี้อยู่ในกระบวนการพิจารณาแผนฟื้นฟู
ของศาลล้มละลายกลาง

ปัจจุบัน TTC มีทุนจดทะเบียนจำนวน 1,050 ล้านบาท แบ่งออกเป็น 10,500 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ
100,000 บาท โดยเป็นทุนเรียกชำระแล้วทั้งจำนวน โรงงานของ TTC ตั้งอยู่ที่จังหวัดสระบุรีก่อสร้างเสร็จสิ้นเมื่อ
ประมาณปี2550 หลังจากเกิดวิกฤตการเงินทั่วโลกเมื่อปลายปี 2551 ทำให้ตลาดก่อสร้างทั้งภายในประเทศและทั่ว
โลกถดถอยอีกทั้งมีการแข่งขันเรื่องราคาสินค้ากับกระเบื้องจากประเทศจีนที่นำเข้ามาในประเทศไทยจากผู้จัด
จำหน่ายและผู้ผลิตกระเบื้องรายอื่นๆในประเทศ ทำให้เกิดปัญหาการใช้กำลังการผลิตลดลงประมาณร้อยละ44
และ ร้อยละ 30 ในปี 2553 และปี 2554 ตามลำดับ

ด้านนายสุทิน ยุทธนาวราภรณ์ ผู้จัดการฝ่ายขายและการตลาด UMI กล่าวว่า การลงทุนใน TTC สอดคล้อง
กับนโยบายบริษัทที่จะเพิ่มกำลังการผลิตและเพิ่มสินค้าประเภทพอร์ซเลน ที่จะช่วยให้บริษัทมีสินค้าที่หลากหลาย
มากขึ้น นอกจากนี้ยังเพิ่มส่วนแบ่งตลาดและขยายฐานลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ โดยการลงทุนในครั้งนี้จะทำ
ให้ UMI มีส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 15% จากมูลค่าตลาดรวมที่ปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 30,000 ล้านบาท
หรือ 180 ล้านตร.ม.

สำหรับภาพรวมตลาดกระเบื้องนับจากต้นปีเป็นต้นมามีการเติบโตที่ดี โดยส่วนใหญ่ยังคงเป็นตลาด
ซ่อมแซม ที่จะมีสัดส่วน 70-80% ของยอดขายอยู่แล้ว ส่วนตลาดในช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าจะมีการเติบโตที่ดีตาม
ภาวะเศรษฐกิจและแผนการลงทุนในโครงการต่างๆของภาครัฐ แต่อย่างไรก็ตามยังคงมีปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบ
ต่อตลาดได้ คือ การเมือง น้ำท่วม และเศรษฐกิจยุโรปทรุด

อนึ่งในช่วงที่เกิดปัญหาวิกฤต TTC ยังคงรักษาสถานภาพของเงินทุนหมุนเวียนได้โดยการลดสินทรัพย์
หมุนเวียน แต่จากยอดการสั่งสินค้าที่ลดต่ำลงและการผลิตสินค้าลดลงทำให้เกิดปัญหาในการชำระหนี้ให้แก่
เจ้าหนี้สถาบันการเงิน โดย TTC เริ่มผิดนัดชำระหนี้ทางการเงินกับเจ้าหนี้ในช่วงเดือนตุลาคม 2551 เจ้าหนี้สถาบัน
การเงินเห็นว่าหาก TTC ได้รับการสนับสนุนด้านการเงิน โดยการเข้าซื้อหุ้นเพิ่มทุนจาก UMI การปรับโครงสร้าง
ทุนของTTC รวมถึงการปรับโครงสร้างหนี้และโครงสร้างของกิจการจะทำให้ผลประกอบการทางการเงินของ
TTC มีแนวโน้มดีขึ้นในระยะยาวและสามารถชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ได้

สำหรับผลประโยชน์ที่คาดว่าจะเกิดกับบริษัทนั้น การลงทุนธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจของบริษัทฯ ช่วยให้
บริษัทฯมีสินค้าหลากหลายเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคทุกกลุ่มซึ่งเป็นการเพิ่มส่วนแบ่งตลาดและ
ขยายฐานลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ และเพิ่มอำนาจต่อรองในการจัดซื้อวัตถุดิบฯลฯ นอกจากนี้ยังมีโอกาส
ได้ผลประโยชน์ในรูปของเงินปันผลจากกำไรของ TTC และมูลค่าหุ้นที่เพิ่มขึ้นในอนาคต หาก TTC ประสบ
ผลสำเร็จในการฟื้นฟูกิจการ