07/01/2556 ‘ศราวุฒิ รัชนกูล’เอ็มดีคนรุ่นใหม่สี JBP รีแบรนด์-เสริมแกร่งดีลเลอร์ งานท้าทายปี56 สีทาอาคารเจ้าของสโลแกน "ใช้ดีจึงบอกเพื่อน" ของค่ายสี "เจ.บี.พี. อินเตอร์เนชั่นแนล เพ็นท์" ที่เป็นประโยคยอด ฮิตติดหูคนไทยมานานกว่า 35 ปี ถึงเวลาผลัดใบผู้บริหารและส่งไม้ต่อให้กับรุ่นทายาทธุรกิจ "เสี่ยยุ่น-ศราวุฒิ รัชน กูล" ผู้บริหารคนรุ่นใหม่วัย 30 ปี เป็น ผู้ขับเคลื่อนองค์กรต่อจาก "ป๋าจงกล รัชนกูล" "ประชาชาติธุรกิจ" สัมภาษณ์ พิเศษ "ยุ่น-ศราวุฒิ" เอ็มดีเจ.บี.พี. อินเตอร์เนชั่นแนล เพ็นท์ ถึงการวางหมากธุรกิจในปี 2556 ในภาวะที่บิ๊กแบรนด์ ต่างเบียดแย่งเค้กสีทาอาคาร มูลค่าปีละ 1.5-1.7 หมื่นล้านบาทกันดุเดือด ++ภาพรวมตลาดปี'56 ภาวะตลาดมองแล้วจะเป็นการแข่งขันหนัก ๆ ของเบอร์ 1-2 ในตลาด และความพยายามที่จะแย่งส่วนแบ่ง คืนกลับมาของผู้ผลิตเบอร์ 3 ผลกระทบจะตกมาสู่ผู้ผลิตรายเล็ก ๆ จะทำให้ค่อยหายไปจากตลาด ซึ่งเริ่มมีให้เห็น บ้างแล้ว ที่เหลือรอดในตลาดก็ต้องดิ้นรนสู้กับการแข่งขันรุนแรงของตลาดให้ได้ ดังนั้น แผนธุรกิจปีหน้าเจบีพีจะเน้นไปที่การปรับปรุงผลิตภัณฑ์ โดยการอัพเกรดสินค้าเดิมที่มีอยู่ให้เป็น เกรดที่สูงขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด ++แผนธุรกิจของเจบีพี หลังจากที่ได้เข้ามาช่วยธุรกิจครอบครัว สิ่งแรกที่ดำเนินการเลยคือปรับปรุงโครงสร้างองค์กร เพื่อให้ พนักงานทำงานได้สอดคล้องกับตำแหน่ง ที่ผ่านมาปัญหาคือตัวบุคคลกับงานไม่สอดคล้องกัน อาจจะเรียกว่าปรับ เล็กหรือปรับเทคนิคการทำงานมากกว่า จากเดิมจะเป็นการทำงานแบบรวมศูนย์ งานไม่ได้แบ่งกันอย่างชัดเจน ยกตัวอย่าง ฝ่ายออกแบบและพัฒนา (R&D) หรือฝ่ายตรวจสอบคุณภาพสินค้า (QC) เดิมจะเป็นรับผิดชอบร่วมกัน ตอนหลังแบ่งกันชัดเจนมากขึ้น ส่วนกระบวนการผลิตก็ต้องปรับเทคนิคใหม่เช่นกัน เพราะระบบเดิมไม่สอดคล้องกับภาวะตลาดในปัจจุบัน ที่สำคัญกำลังการผลิตเริ่มเต็ม เมื่อ 2 ปีที่แล้วขึ้นไปสูงสุดที่ 2 หมื่นตัน/ปี ยอดขายอยู่ที่ 1,000 ล้านบาท/ปี เติบโตปี ละ 3-4% ถามว่ามีกำลังการผลิตเหลืออยู่มั้ย ตอบว่ามี แต่คงทำได้ไม่มากเท่าไหร่ การแก้ปัญหาคือปรับโครงสร้าง การตลาดใหม่ โดยสนับสนุนการขายสินค้าเกรดบนให้มากขึ้น และสามารถขายสินค้าที่มีสร้างมูลค่าเพิ่มได้เยอะ ขึ้น หลังจากที่ปรับกระบวนการผลิตตรงจุดนี้ สัดส่วนสินค้ากลุ่มกลาง-บนจะเกิน 60% ราคาขายประมาณ 1,200-2,000 กว่าบาท/แกลลอน, ระดับกลาง 30% ราคาประมาณ 800-1,200 บาท/แกลลอน และระดับล่าง 10% ราคาประมาณ 400-700 บาท/แกลลอน ส่วนราคาขายเต็มหน้าโรงงานสินค้าราคาสูงสุดเป็นรุ่น เจบีพี ฟิวเจอร์ ชิลด์ อยู่ที่ 5,000-6,000 บาทขึ้นไป แต่ยังไม่ได้รวมราคาส่วนลดให้กับดีลเลอร์ เป็นสีทาได้ทั้งภายนอกและภายใน สินค้าตัวนี้ออกมาทำตลาดได้ 2 ปี กว่าแล้ว ถ้าไปซื้อกับดีลเลอร์จริง ๆ จะขายอยู่ประมาณ 3,000 กว่าบาท ขึ้นอยู่กับส่วนลดที่ ดีลเลอร์แต่ละรายได้รับ ++นโยบายเกี่ยวกับแบรนด์ แบรนด์ของเจบีพีที่หยุดนิ่งมานาน การที่จะกลับมาทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้นไม่ใช่เรื่องง่าย ประกอบกับเจบีพีในสายตาคนรุ่นใหม่เป็นแบรนด์ที่เก่าแก่ไปแล้ว ไม่เหมือนกับแบรนด์ที่เกิดใหม่เช่นเบเยอร์ที่ ก้าวเข้าสู่ธุรกิจนี้ และสามารถทำให้สินค้าเป็นที่รู้จักด้วยกลยุทธ์ทางการตลาดรูปแบบต่าง ๆ เป็นโจทย์ที่ท้าทาย มากสำหรับเจบีพีที่จะต้องมีการปรับภาพลักษณ์สินค้าให้ทันสมัยเข้ากับภาวะตลาดปัจจุบัน คงต้องใช้เวลาอีกระยะ หนึ่ง การรีแบรนด์จึงเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่เรากำลังจะทำ และได้ทำไปแล้วบางส่วน เช่น การใช้เจบีพีเป็นตัวนำ แล้วมีสินค้าซีรีส์อื่น ๆ เข้ามาแทนเพื่อให้เกิดความชัดเจนในกลุ่มสินค้าที่มีอยู่ ความหมายคือให้เจบีพีเป็นแบรนด์ ขององค์กร ส่วนตัวสินค้าใช้คำว่า "สมาร์ท" มาเป็นแบรนด์นำ ++แผนธุรกิจเชิงรุกในปี'56 มีครับ (ยิ้ม) เป็นเรื่องการขยายตลาดใหม่ ๆ และขยายดีลเลอร์ในจุดที่ยังไม่มี หลัก ๆ พื้นที่ที่ยังขาดอยู่จะเป็น ภาคอีสานยังมีช่องว่างให้เข้าไปทำตลาดมากที่สุด เรามีดีลเลอร์ทั่วประเทศ 700 กว่าราย แต่ในภาคอีสานเพิ่งจะมี 200 รายเท่านั้น เป้าหมายจะเพิ่มดีลเลอร์ทั่วประเทศให้ได้อีก 100 รายในปีนี้ อย่างน้อย 50 รายที่เพิ่มจะเป็นดีล เลอร์ในภาคอีสาน เพราะมองว่าแนวโน้มการขยายตัวของที่อยู่อาศัยและปริมาณการใช้สีทาบ้านน่าจะเพิ่มสูงขึ้น รวมทั้งรับอานิสงส์เปิดเออีซีด้วย ส่วนกลยุทธ์การเพิ่มยอดขายในปีหน้า หลัก ๆ เลยคือ 1) พยายามสร้างความแข็งแกร่งให้กับดีลเลอร์ที่มีอยู่ จะต้องเสริมโปรโมชั่นและงบฯการตลาดเข้าไป ปกติจะใช้อยู่ประมาณ 3-5% ของยอดขายรวม พร้อมกับขยาย ตลาดเครื่องผสมสีอัตโนมัติให้มากขึ้น ในประเด็นนี้เราเพิ่งทำตลาดมาได้ประมาณ 1 ปีครึ่ง ปัจจุบันประมาณ 24 เครื่อง จะพยายามขยายให้ได้มากที่สุด 2) เพิ่มผู้เชี่ยวชาญในการให้ความรู้ทางด้านสีทาบ้าน (PC) ประจำที่ จุดขาย เป็นการตลาดที่แต่ผู้ผลิตแต่ละ ค่าย พยายามทำอยู่ ตอนนี้เราส่งเข้าไปแล้ว 10 กว่าจุด ประจำร้านผสมสีขนาดใหญ่ 3) ทำโปรโมชั่น ณ จุดขาย ++แผนปรับโครงสร้างองค์กร ต้องบอกว่า บังเอิญเราเป็นบริษัทที่ค่อนข้างอนุรักษนิยม การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมายังรักษา พนักงานรุ่นเก่าแก่ไว้ ไม่มีนโยบายให้ออกแม้แต่ คนเดียว พนักงานบางคนอยู่กับเรา มานานกว่า 30 ปี ดังนั้นเรื่อง นี้ต้องใช้เวลาค่อยเป็นค่อยไป ยอมรับว่าทำให้เราปรับ โครงสร้างอค์กรได้ค่อนข้างช้า แต่ระยะหลังเริ่มมีพนักงาน เกษียนมากขึ้น เรื่อย ๆ ก็มีการรับคนใหม่เข้ามาทดแทน นโยบายการรับคนมี 2 แบบคือ สร้างคนรุ่นใหม่ขึ้นมา ทดแทน กับดึงมืออาชีพ เข้ามาด้วยบางส่วน ตอนนี้เริ่มทำแล้วระยะหนึ่ง ++โครงการขยายหรือย้ายโรงงาน มีครับ ในปี 2540 เคยมีแพลนที่จะย้ายโรงงานทั้งหมดไปตั้งบนที่ดินตัวเองแถวลาดหลุมแก้ว ปทุมธานี เนื้อ ที่ 15 ไร่ แต่ช่วงนั้นวิกฤตฟองสบู่แตกทำให้เบรกเรื่องนี้ไว้ก่อน มาถึงตอนนี้ก็ต้องมาพิจารณาที่ดินแปลงนี้อีกทีว่า ยังมีความเหมาะสมที่จะเดินหน้าต่อไปหรือไม่ เพราะเวลาผ่านมานาน 15 ปีมูลค่าที่ดินก็เพิ่มขึ้น สภาพโดยรอบ อาจไม่เหมาะที่จะไปตั้งโรงงานแล้วเพราะมีชุมชนเกิดขึ้นโดยรอบ หากตัดสินใจเดินหน้าแผนย้ายโรงงานแค่ ค่าปรับสภาพหน้าดินและรั้วโดยรอบ น่าจะใส่เม็ดเงินประมาณ 30 ล้านบาท ไม่รวมสิ่งปลูกสร้าง การติดตั้ง เครื่องจักร ในมุมมองของผม ในวันนี้อยากที่จะทำให้การปรับปรุงโครงสร้างภายในองค์ที่ทำมาแล้วกว่า 2 ปีให้เสร็จ สมบูรณ์ 100% ก่อน เพื่อรองรับการแข่งขันในปัจจุบันให้ได้ก่อนค่อยกลับไปทบทวนเรื่องการย้ายโรงงาน แน่นอนว่ากระบวนการเหล่านี้ต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 5 ปีข้างหน้าถึงจะมีความชัดเจน 3 ปีที่เข้ามาเป็นผู้บริหาร งานแรกที่ทำและยังไม่จบ เรื่องใหญ่...ปรับโครงสร้างองค์กร แผนธุรกิจในอนาคต แม้เจบีพีเป็นบริษัทเล็กในตลาด แต่เราก็มีความมุ่งมั่นเป็นท็อปทรีให้ได้