14/11/2556

เปิดใจบิ๊กวัสดุ โกลบอลเฮ้าส์ ปีกขาที่กล้าแข็งใต้ปีก...เอสซีจี

แบรนด์โกลบอลเฮ้าส์ยิ่งเติบโตแบบก้าวกระโดด หลังจากจับมือกับหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ "เอสซีจี ดิสทริบิวชั่น"
ในเครือเอสซีจี จากเคยเปิดสาขาเฉลี่ยปีละ 1-3 แห่ง เพิ่มเป็นปีละ 12 แห่ง จนปัจจุบันมีสาขาแล้วกว่า 26 แห่งทั่วประเทศ
และเป็นยักษ์ใหญ่ในวงการศูนย์ค้าวัสดุที่ทุกค่ายต้องจับตามอง

"เสี่ยวิทูร" ริเริ่มโมเดลร้านค้าปลีกวัสดุก่อสร้างโกลบอลเฮ้าส์ หลังจากพบเห็นโมเดลร้านค้าปลีกในต่างประเทศทั้งใน
อเมริกาและยุโรป รวมถึงการเป็นนักอบรม สัมมนาทำให้ได้แนวคิดใหม่ ๆ บวกกับวิสัยทัศน์ส่วนตัวที่มองข้ามชอตและ
กล้าขายความแตกต่าง

โมเดลของโกลบอลเฮ้าส์จึงเป็นร้านค้าปลีกวัสดุก่อสร้างที่ทันสมัยเน้น "บริการ+ สินค้าราคาถูก" เป็นหลัก"ผมมี
นโยบายวันไพรซ์ ตั้งราคาขายเป็นมาตรฐานราคาเดียวกันทุกสาขา ที่กำหนดราคาขายได้เพราะรู้ว่าราคาสุดท้ายของสินค้าจะ
อยู่ที่เท่าไหร่ เพราะผมเติบโตมาจากธุรกิจรับเหมาก่อสร้างและค้าวัสดุมาก่อน"

สิ่งที่โกลบอลเฮ้าส์ริเริ่มเป็นราย แรก ๆ ของวงการศูนย์ค้าวัสดุคือ 1.การันตีรับคืนสินค้าสำหรับลูกค้าเงินสด 2.มี
บริการอื่น ๆ อำนวยความสะดวก ให้ลูกค้า เช่น การสั่งสินค้าแบบไดรฟ์ทรู จัดส่งสินค้า

หรือแม้แต่บริการเติมลมยางฟรีก็ยังมี ! เรียกว่าเซอร์วิสให้เกินกว่าความต้องการลูกค้า

กับการวางแผนเลือกสินค้าวัสดุก่อสร้างมาขายในร้าน ตั้งคำถามว่าซัพพลายเออร์ จะได้อะไรจากการนำสินค้าเข้ามา
ขาย ในโกลบอลเฮ้าส์มากกว่าคู่แข่ง "เสี่ยวิทูร" ตอบประเด็นนี้ว่า สิ่งที่บริษัทลงทุนคือ นำระบบคอมพิวเตอร์ช่วยจัดเก็บส
ต๊อกสินค้ามาใช้ ผลก็คือสินค้าที่ขายใน โกลบอลเฮ้าส์ไม่เคยขาดเชลฟ์ ช่วยให้ร้านและซัพพลายเออร์ไม่เสียโอกาสใน การ
ขาย

ส่วน "เคล็ด (ไม่) ลับ" การเติบโตของโกลบอลเฮ้าส์อยู่ที่การบริหารจัดการ เสี่ยวิทูรเล่าว่า สิ่งสำคัญของการบริหารให้
ธุรกิจเติบโตคือ...ระบบบัญชี เป็นสิ่งที่ให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก

นอกจากนี้ ยังใช้ระบบคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการบริหารจัดการระบบภายในร้านและบันทึกข้อมูล
สำคัญ เพื่อใช้ในการบริหารตัวเลข และเอาตัวเลขนั้นมาวิเคราะห์เพื่อปรับแผนและวางกลยุทธ์การตลาด

โกลบอลเฮ้าส์จึงเติบโตอย่างต่อเนื่อง จนสามารถขยายสาขาไปจังหวัดใกล้เคียงและภูมิภาคทั่วประเทศ ภายใต้กลยุทธ์ป่า
ล้อมเมือง

ยุคแรก ๆ ของโกลบอลเฮ้าส์ เริ่มจากการขยายสาขาในหัวเมืองใหญ่ต่างจังหวัดก่อน แล้วค่อย ๆ ดูศักยภาพของเมืองที่
อยู่ใกล้เคียง โดยพิจารณาปัจจัยรอบด้าน เช่น กำลังซื้อผู้บริโภค รายได้ประชากรต่อหัว จำนวนประชากร แนวโน้มการ
เติบโตอสังหาริมทรัพย์และการก่อสร้าง ฯลฯ จากนั้นจึงทยอยขยายสาขารุกคืบเข้าใกล้กรุงเทพฯ

"การจะทำธุรกิจให้รุ่งต้องคิดแบบ นักธุรกิจ ต้องรู้จักวางกลยุทธ์และหาเงินมาขยายกิจการ จะโตได้ต้องมีเครดิต สมัย
ที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจปี'40 ผมชำระหนี้ธนาคารตรงเวลาตลอด ไม่ยึดสโลแกน...ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย ดังนั้น เมื่อผมขอกู้
ธนาคารก็กล้าปล่อยสินเชื่อ ถึงจุดหนึ่ง ผมรู้ว่าทุนสำคัญ ผมจึงเอาบริษัทเข้า ตลาดหลักทรัพย์ฯเมื่อเดือนสิงหาคมปี'52"

หลังเข้าตลาด บริษัทสามารถเติบโตและขยายตัวได้เร็วขึ้น ขณะเดียวกันก็มีบริษัทอื่น ๆ ให้ความสนใจ และได้รับ
คำแนะนำจากกูรูเรื่องการหาหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์

นำมาสู่การเป็นพันธมิตรกับเอสซีจีในที่สุด ส่งผลให้โกลบอลเฮ้าส์แข็งแกร่งขึ้น มีทุนจดทะเบียนเพิ่มขึ้นอีก 3,000
ล้าน บาท มีทุนขยายสาขามากขึ้น โดย ตั้งเป้าเพิ่มการขยายสาขาจาก 1-3 สาขา/ปี เป็น 12 สาขา/ปี

สำหรับปี 2557 โกลบอลเฮ้าส์จะลงทุนขยายสาขาเพิ่มอีก 12 แห่งทั่วประเทศ ใช้งบฯ 3,600 ล้านบาท

คำถามยอดฮิตในเวลานี้คือ โกลบอลเฮ้าส์ บุกตลาดเออีซีไหม ? "เสี่ยวิทูร" นิ่ง ๆ ก่อนจะตอบว่า ตอนนี้อยู่ระหว่าง
ศึกษาเรื่องกฎหมายและประเมินความพร้อม แต่ไม่ได้ระบุเวลาชัดเจนว่าเป็นเมื่อไหร่ คำยืนยันคือจะไปก็ต่อเมื่อพร้อม

"ตอนนี้เออีซีเริ่มต้นแล้ว และจะมีผล ขึ้นเรื่อย ๆ ภาษีนำเข้า-ส่งออกเหลือ 0% คนก็เดินทางข้ามพรมแดนสะดวกขึ้น
ผู้ประกอบการบางรายเข้าไปในตลาดอาเซียนล่วงหน้า แต่บางรายไปแบบไม่พร้อม กิจการก็ไปไม่รอด"

แต่ที่ไม่ถามไม่ได้คงเป็นข้อสงสัยต่อประเด็นฮอต...การเมือง เสี่ยวิทูรบอกว่า ปัญหาการเมืองที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ไม่
มีผลกระทบต่อแผนลงทุนของโกลบอลเฮ้าส์ อาจต้องอัดฉีดโปรโมชั่นกระตุ้นกำลังซื้อเพื่อเรียกความสนใจของผู้บริโภค
กลับคืนมา

โดยปีนี้บริษัทยังมั่นใจว่าจะมียอดขาย 1.54-15.6 หมื่นล้านบาท เติบโต 40-45% ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ และปีหน้ายังคง
เดินหน้าเปิดสาขาใหม่ต่อเนื่อง

++จาก 'ร้อยเอ็ดฟาร์ม'สู่ธุรกิจโมเดิร์นเทรดแถวหน้า

กว่าจะมาเป็น "โกลบอลเฮ้าส์" อย่างทุกวันนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ! เป็นความในใจของ "เสี่ยวิทูร สุริยวนากุล"ย้อนประวัติหลังจบ
การศึกษาปริญญาตรี วิศวะจาก ม.ขอนแก่น วิศวกรวัยหนุ่ม ตัดสินใจกลับไปทำงานที่บ้านเกิด จ.ร้อยเอ็ด เริ่มจากจับงาน
รับเหมาในพื้นที่เป็นเวลากว่า 3 ปี แต่เห็นแล้วว่าการทำรับเหมาอย่างเดียวไม่พอ เพราะยุคนั้นเศรษฐกิจไม่ดี แถมแบงก์ยัง
จำกัดการปล่อย สินเชื่อเขาจึงหันมาจับธุรกิจซื้อมาขายไป ทำร้านค้าวัสดุก่อสร้างในชื่อ "ร้อยเอ็ดฟาร์ม" ควบคู่ไปกับกิจการ
รับเหมา 2 ขาคู่กัน "วิทูร" จึงรู้จุดอ่อนของธุรกิจ ค้าวัสดุดี

"ผมทำร้านร้อยเอ็ดฟาร์ม ชื่อไม่ได้ เกี่ยวกับวัสดุก่อสร้างเลย (หัวเราะ)..." คำกล่าวแรกของเขาก่อนจะขยายความต่อไป
ว่า"ร้านค้าวัสดุแบบเดิมจะตั้งราคาตามใจฉัน (เจ้าของ) ลูกค้าแต่ละคนจึงซื้อสินค้ารายการเดียวกันในราคาต่างกัน
นอกจากนี้เวลาเดินเข้าไปในร้านวัสดุมันไม่มีพื้นที่ให้เลือกของเลย แทนที่จะได้เดินเลือกของเอง ต้องบอกคนขายว่าจะเอา
อะไรแล้วให้เขาหยิบมาให้ แถมซื้อไปแล้วยังไม่ให้ผมเปลี่ยนหรือคืนสินค้า ก็ลบจุดอ่อนออกไป ตั้งราคาเป็นมาตรฐาน จัด
ร้านให้มีพื้นที่เดินดูของได้ ปรากฏว่าผลตอบรับดีจึงขยายสาขา 2"

ประมาณปี 2536 ตรงกับยุคโลกาภิวัตน์ หลังจากทำร้านร้อยเอ็ดฟาร์มมากว่า 10 ปี เขาเห็นว่าต่างชาติเริ่มเข้ามาลงทุน
ใน เมืองไทยมากขึ้น ประกอบกับกิจการ ร้อยเอ็ดฟาร์มเริ่มมียอดขายทรงตัว จึงหารีแบรนด์ปรับโฉมร้านใหม่

"ตอนนั้นคิดว่าถ้าจะทำ ต้องทำให้ใหญ่ ทำให้ดี และทันสมัย เผื่อว่าแข่งขันไม่ได้ก็จะได้มีคนอยากเข้ามาซื้อเพราะเห็น
โอกาสที่รายใหญ่ ๆ จะเข้ามาลงทุน ส่วนชื่อร้านผมก็คิดอยู่นานว่าจะใช้ชื่ออะไร สุดท้ายก็ลงเอยด้วยชื่อ "Global House"
Global มาจาก Globalization หรือยุคโลกาภิวัตน์ และ House มาจากสินค้าที่ขายเกี่ยวกับบ้าน"

นี่เป็นจุดเริ่มต้นของโมเดิร์นเทรด ค้าปลีกวัสดุแบบบิ๊กบอกซ์ "โกลบอลเฮ้าส์" สาขาร้อยเอ็ด เมื่อปี 2540 จนตอนนี้มี
26 สาขา เติบโตเป็นธุรกิจหมื่นล้าน ในวันนี้