17/08/2558

กลุ่มรับเหมาก่อสร้างกำไรงาม

บริษัทที่ทำธุรกิจรับเหมาก่อสร้างขนาดใหญ่ 4 บริษัท ได้แก่ บริษัท ช.การช่าง (CK) บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อป
เมนต์ (ITD) บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น (STEC) และบริษัท ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น
(UNIQ) มีกำไรสุทธิรวม 2,085 ล้านบาท ในไตรมาส 2 ปีนี้ เพิ่มขึ้น 1,184 ล้านบาท หรือ 131.41% เมื่อเทียบช่วงเดียวกัน
ของปีก่อนที่ทำได้ 901 ล้านบาท

ขณะที่รวมงวด 6 เดือนแรกมีกำไรสุทธิรวม 2,485 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 514 ล้านบาท หรือ 26.08% เทียบกับช่วงเดียวกัน
ของปีก่อนที่ทำได้ 1,971 ล้านบาท

สำหรับบริษัทที่มีกำไรโดดเด่นสุดคือ CK ทำได้ 1,654 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 430% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 312
ล้านบาท และ 6 เดือนมีกำไรทั้งสิ้น 2,091 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 208.86% จากช่วงเดียวกันปีก่อน 677 ล้านบาท รองลงมาคือ
UNIQ มีกำไร 156 ล้านบาท โตขึ้น 79% และ 6 เดือนทำได้ 309 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 47.14% ที่ทำได้ 210 ล้านบาท
เนื่องจากบริษัทมีความคืบหน้าในการก่อสร้าง โครงการรถไฟฟ้าสีแดง สัญญาที่ 1 งานโยธาสำหรับสถานีกลางบางซื่อและ
ศูนย์ซ่อมบำรุง นอกจากนั้นยังสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ขณะเดียวกัน STEC กลับมีกำไรลดลง 19% จากจำนวน 403 ล้านบาท เหลือ 326 ล้านบาท ในปีนี้ และ 6 เดือน
กำไรก็ลดลงเช่นกันถึง 20.93% ทำได้ 646 ล้านบาท เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน 817 ล้านบาท และ ITD กลับมีผลขาดทุน 51
ล้านบาท แย่ลงมากถึง 151.51% จากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 99 ล้านบาท ส่วนงวด 6 เดือนก็ขาดทุน 561 ล้านบาท พลิกจากช่วง
เดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 267 ล้านบาท

สาเหตุที่บริษัท ช.การช่าง มีกำไรเพิ่มขึ้นมาก เพราะในครึ่งปีแรกมีกำไรจากการจำหน่ายเงินลงทุนในบริษัทร่วมและ
เงินลงทุนระยะยาวรวม 1,972 ล้านบาท ขณะที่มีกำไรส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นของบริษัท 2,091 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 208.78%
และกำไรก่อนหักภาษี ดอกเบี้ยและค่าเสื่อม หรืออีบิตดา 3,779 ล้านบาท คิดเป็น 19.21%

บริษัทมีกำไรจากการดำเนินงานมาจากรายได้หลัก ทั้งการรับเหมา การขายวัสดุก่อสร้างและค่าบริหารโครงการ รวม
17,027 ล้านบาท หรือคิดเป็น 86.56% ของรายได้รวม ลดลง 2.78% จากงวดเดียวกันของปี 2557 โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ย
8.29% ลดลงจากเฉลี่ย 10.44% ซึ่งเป็นผลมาจากช่วงปลายโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าบางโครงการ ทำให้รายได้ที่รับรู้
น้อยลง ส่วนต้นทุนในการรับเหมา ขายวัสดุก่อสร้างและบริการ มีจำนวน 15,615 ล้านบาท คิดเป็น 79.38% ของรายได้รวม
ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อน จำนวน 70 ล้านบาท หรือคิดเป็นลดลง 0.45% เป็นผลมาจากการแล้วเสร็จของบางโครงการ
และค่าใช้จ่ายในการบริหารลดลงจำนวน 47 ล้านบาท หรือคิดเป็น 5.7% หลังลดค่าซ่อมแซมบำรุงรักษาเครื่องจักร

ขณะเดียวกัน ค่าใช้จ่ายทางการเงินเพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปี 2557 จำนวน 30 ล้านบาท คิดเป็น 4.04% โดยมี
สาเหตุจากเงินกู้ยืมระยะยาวที่เพิ่มขึ้น ณ วันที่ 30 มิ.ย. 2558 บริษัทมีหนี้สินรวม 64,863 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.64% จากสิ้นปี
2557

ทั้งนี้ เป็นผลมาจากการเบิกเงินกู้ยืมระยะยาว และการออกหุ้นกู้เพิ่มเพื่อการลงทุนและโครงการในอนาคต และมี
อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้น 1.33 เท่า ลดลง 0.15 เท่า เมื่อเปรียบเทียบกับสิ้นปี 2557 ซึ่งไม่เกินเงื่อนไขของ
หุ้นกู้และเงินกู้ที่กำหนดไว้ไม่เกิน 3 เท่า

ก่อนหน้านี้ STEC ชี้แจงว่า กำไรลดลงตามรายได้ โดยไตรมาส 2 มีรายได้รวมจำนวน 5,059 ล้านบาท ลดลง 5.14%
และรวม 6 เดือนกำไรสุทธิลดลง 12.97% เหลือจำนวน 9,333 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทรับรู้รายได้ตามปริมาณงานก่อสร้างที่
คงเหลือตามสัญญา และงานก่อสร้างที่รับมาใหม่ยังไม่ถึงกำหนดการก่อสร้าง ประกอบกับงานประมูลโครงการขนาดใหญ่
ในปัจจุบันมีการชะลอตัวเนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจ

อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงมีรายได้หลักที่สำคัญ ได้แก่ รายได้จากการก่อสร้างจำนวน 4,963 ล้านบาท ในไตรมาส 2
และจำนวน 9,149 ล้านบาท ในช่วงครึ่งปีแรก