K WEALTH / บทความ / Market Update / Fund Flow เข้าไทย หุ้นกลุ่มไหนได้ไปต่อ
07 มีนาคม 2565
4 นาที

Fund Flow เข้าไทย หุ้นกลุ่มไหนได้ไปต่อ


          

​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​“ ​

• ตั้งแต่ต้นปี 2565 นักลงทุนต่างชาติกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยและตลาดพันธบัตรไทยต่อเนื่อง ทำให้เงินบาททยอยแข็งค่าขึ้นและตลาดหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงกว่าช่วงก่อนโควิด 

• ปัจจัยกำหนดเงินไหลเข้าออก ได้แก่ ดุลบัญชีเดินสะพัด GDP ดอกเบี้ยที่แท้จริง และอื่นๆ เช่น สงคราม ภัยธรรมชาติ ซึ่งต้องดูหลายๆ ปัจจัยประกอบกัน รวมถึงดูในเชิงเปรียบเทียบกับประเทศอื่น 

• บล.กสิกรไทย มองว่า หุ้นกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ค้าปลีก ธนาคาร พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และการแพทย์ เป็นกลุ่มที่คาดว่าเงินจะไหลเข้า 

• แนะนำให้นักลงทุนทยอยสะสมหุ้นใน SET50 ที่คาดว่าเงินจะไหลเข้าและยังมี Upside รวมถึงหาจังหวะทำกำไรในช่วงเดือนเม.ย. 2565 หรือเลือกลงทุนในกองทุน K-SET50 และ K-STAR เพื่อโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีในหุ้นไทย และติดตามสภาพแวดล้อมของเศรษฐกิจไทย และเงื่อนไขต่างๆ ที่ทำให้นักลงทุนต่างชาตินำเงินเข้ามาลงทุนในไทยว่าจะยังคงเป็นไปอย่างต่อเนื่องหรือไม่

​​“


          ตั้งแต่ต้นปี 2565 เป็นต้นมา จะเห็นว่านักลงทุนต่างชาติกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยและตลาดพันธบัตรไทยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจากข้อมูลของศูนย์วิจัยกสิกรไทย พบว่า ในช่วงเวลา 1 เดือนครึ่ง ต่างชาติพลิกจากที่ขายสุทธิหุ้นไทยสะสม 48,577 ล้านบาทในปี 2564 มาเป็นซื้อสุทธิหุ้นไทยสะสม 64,580 ล้านบาท พร้อมกับเพิ่มการถือครองพันธบัตรไทยอีก 127,778 ล้านบาท ทำให้เงินบาททยอยแข็งค่าขึ้น โดยในระหว่างวันที่ 17 ก.พ. 2565 เงินบาทแข็งค่าสุดในรอบ 7 เดือนที่ 32.20 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ และกลายเป็นสกุลเงินที่แข็งค่าที่สุดในเอเชีย และยังทำให้ตลาดหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงกว่าช่วงก่อนโควิด โดยหุ้นไทยพลิกกลับมายืนเหนือ 1,700 จุดได้ ซึ่งดัชนี SET Index ณ วันที่ 18 ก.พ. 65 ปิดที่ระดับ 1,713.20 จุด แล้วทำไมนักลงทุนต่างชาติถึงเข้ามาลงทุนในไทย ปัจจัยอะไรที่กำหนดว่าเงินจะไหลเข้าหรือออก เงินที่ไหลเข้ามาครั้งนี้จะอยู่นานไหม แล้วหุ้นกลุ่มไหนจะได้ประโยชน์ มาติดตามกัน

ปัจจัยกำหนดเงินไหลเข้าออก ​​​​​

         โดยปกติแล้วเงินจะไหลจากสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนต่ำไปยังสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูง และมีสภาพคล่อง ซึ่งตัวอย่างปัจจัยที่กำหนดว่าเงินจะไหลเข้าหรือออกนั้นสามารถดูได้จาก 
          1. ดุลบัญชีเดินสะพัด ถือเป็นหนึ่งในดุลการชำระเงิน ซึ่งประกอบไปด้วยดุลการค้าและดุลบริการ โดย 
               • ดุลการค้า เกิดจากการส่งออกลบด้วยนำเข้า ถ้าผลออกมาเป็นบวก แสดงว่า มีการส่งออกมากกว่านำเข้า ดุลการค้าก็จะเป็นบวก 
               • ดุลบริการ เกิดจากภาคธุรกิจบริการ เช่น การท่องเที่ยว การเงิน ประกัน ขนส่ง 
           ถ้าดุลการค้าและดุลบริการรวมกันแล้วเป็นบวกจะทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดเป็นบวก ซึ่งหมายความว่า มีกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ทำให้เงินไหลเข้าประเทศ ส่งผลให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น 

           2. GDP = C + I + G + (X-M) คือ ผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศที่เป็นตัวชี้วัดการเติบโตทางเศรษฐกิจซึ่งเกิดจาก 
          การบริโภคของภาคเอกชนและประชาชนทั่วไป (Consumption) + การลงทุนของภาคเอกชน (Investment) + การใช้จ่ายและการลงทุนของภาครัฐ (Government Spending) + มูลค่าการส่งออกสินค้าสุทธิ (X-M = Net Export) 
          หาก GDP เป็นบวก แสดงว่าเศรษฐกิจมีการเติบโต ซึ่งหากเศรษฐกิจเติบโตมากกว่าประเทศอื่น ก็มีโอกาสที่เงินจะไหลเข้า 

          3. ดอกเบี้ยที่แท้จริง (Bond Yield – Inflation) เกิดจากอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาล 10 ปี ลบด้วยอัตราเงินเฟ้อ โดยถ้าอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงสูง แสดงว่ามีความน่าสนใจที่เงินจะไหลเข้ามาเพื่อให้ได้รับส่วนต่างดอกเบี้ย 

          4. อื่นๆ เช่น สงคราม ภัยธรรมชาติ ปัญหาการเมืองในประเทศ สงครามการค้า เป็นต้น หากมีเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นก็มีโอกาสที่เงินจะไหลออก เพราะมีความไม่แน่นอนสูง 

          ทั้งนี้ ปัจจัยที่กำหนดว่าเงินจะไหลเข้าหรือออกนั้นต้องดูหลายๆ ปัจจัยประกอบกัน รวมถึงดูในเชิงเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ ด้วยว่าใครบวกเยอะกว่ากัน ซึ่งหากประเทศไหนบวกเยอะกว่า มีความน่าสนใจมากกว่า เงินก็จะไหลเข้านั่นเอง ​​​



Fund Flow จะเข้าไทยอีกนานหรือไม่ ​​​​​

          หากถามว่าแล้ว Fund Flow จะเข้าไทยอีกนานไหม การเข้ามาครั้งนี้เป็นเพียงชั่วคราวหรือถาวรสามารถพิจารณาจากการคาดการณ์ปัจจัยที่กำหนดเงินไหลเข้าออกในอนาคต โดยจากข้อมูลของ Bloomberg พบว่า 
          - ดุลบัญชีเดินสะพัดไทยปีหน้าจะสูงกว่าประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค โดยดุลบัญชีเดินสะพัดต่อ GDP ของไทยปี 2023F อยู่ที่ 3.8 ซึ่งถือว่าสูงมาก ทำให้ค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น 
          - เศรษฐกิจไทยและกำไรของบริษัทไทยเริ่มฟื้นตัวได้ดีในอีก 2 ปีข้างหน้า เพราะฟื้นจากสถานการณ์โควิดและภาคการท่องเที่ยว โดย GDP Growth ของไทยโตขึ้น ซึ่งปี 2022F อยู่ที่ 3.9 และปี 2023F อยู่ที่ 4.0 ส่วน EPS Growth หรือกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนไทยก็โตขึ้นเช่นกัน โดยปี 2022F อยู่ที่ 11.3% และปี 2023F อยู่ที่ 13.1% ถือว่าเติบโตมากกว่าค่าเฉลี่ย 
           - ดอกเบี้ยที่แท้จริงปีนี้ของไทยอยู่ในจุดที่น่าสนใจ โดยปี 2022F อยู่ที่ -0.95 ถึงแม้จะติดลบ แต่ถือว่าไม่ได้แย่เมื่อเทียบกับประเทศอื่น 
          ดังนั้น จึงมีความเป็นไปได้ที่ปีนี้ Fund Flow จะไหลเข้าไทยทั้งปี หากไม่มีวิกฤติ อย่างไรก็ตาม Fund Flow สามารถเปลี่ยนแปลงเคลื่อนย้ายได้อย่างรวดเร็ว นักลงทุนจึงต้องติดตามสถานการณ์และปัจจัยต่างๆ ที่อาจส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างใกล้ชิด

หุ้นกลุ่มไหนได้ประโยชน์​​​​​

          จากสถานการณ์ Fund Flow ที่เข้าไทยนั้น ทางบล.กสิกรไทย มองว่า หุ้นกลุ่มที่คาดว่าเงินจะไหลเข้า ได้แก่ 
           • กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Components) หมายถึง บริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์สำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้าหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทั่วไป 
          • กลุ่มค้าปลีก (Commerce) หมายถึง บริษัทที่จำหน่ายสินค้าให้แก่ผู้บริโภคโดยตรง ทั้งแบบที่มีหน้าร้านและแบบไม่มีหน้าร้าน 
          • กลุ่มธนาคาร (Banking) หมายถึง บริษัทผู้ประกอบธุรกิจธนาคาร หรือสถาบันการเงิน 
          • กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (Property Development) หมายถึง บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายหรือให้เช่า และบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ 
          • กลุ่มการแพทย์ (Health Care Services) หมายถึง กลุ่มโรงพยาบาล บริษัทที่ให้บริการทางการแพทย์ ทันตแพทย์ ศัลยกรรมความงาม การฟื้นฟูสุขภาพและสมรรถภาพทางกายอื่นๆ

นักลงทุนควรทำอย่างไร ​​​​​

          แนะนำให้นักลงทุนทยอยสะสมหุ้นใน SET50 ที่คาดว่าเงินจะไหลเข้าและยังมี Upside คือ ราคายังต่างจากราคาตามปัจจัยพื้นฐาน โดยสามารถดูรายชื่อบริษัทได้ที่ https://www.kasikornsecurities.com/th/kschannel/stock-101/W6Nhpi​ รวมถึงหาจังหวะทำกำไรในช่วงเดือนเม.ย. 2565 เนื่องจากอาจมีโอกาสเกิดเหตุการณ์ Sell in May and Go Away ขึ้นได้ในเดือนพ.ค. 2565 
           สำหรับคนที่ต้องการกระจายการลงทุนในหุ้น 50 ตัว เพื่อให้ได้ผลตอบแทนตามดัชนี SET50 สามารถลงทุนในกองทุน K-SET50 ได้ ส่วนคนที่ไม่มีเวลาติดตามสถานการณ์ และต้องการเก็งกำไรในหุ้นไทย เพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดีก็สามารถลงทุนในกองทุน K-STAR ได้เช่นกัน 
          สำหรับคนที่มีกองทุน LTF ที่ถือจนครบกำหนดแล้ว ก็ถือเป็นโอกาสในการพิจารณาขายคืนเมื่อมีกำไร แล้วนำเงินที่ได้รับมาลงทุนในกองทุน SSF หรือ RMF เพื่อใช้สิทธิลดหย่อนภาษีต่อในปีนี้ 
          นอกจากนี้ นักลงทุนควรติดตามต่อว่าสภาพแวดล้อมของเศรษฐกิจไทย และเงื่อนไขต่างๆ ที่ทำให้นักลงทุนต่างชาตินำเงินเข้ามาลงทุนในไทยนั้นจะยังคงเป็นไปอย่างต่อเนื่องหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน รวมถึงเมื่อ Fed จะเริ่มปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกในเดือนมี.ค. 2565 และส่งสัญญาณการลดงบดุล ซึ่งจะส่งผลให้เงินส่วนหนึ่งเคลื่อนกลับออกไปนั่นเอง

Disclaimer: “ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน” 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : 
KS Stock101 Season 2 EP.25 : เมื่อ FUND FLOW ไหลเข้าไทย "หุ้นไหน" จะเข้าตา 
KResearch Econ Digest : เงินทุนต่างชาติไหลเข้า หนุนบาทแข็งค่าสุดในรอบ 7 เดือน 

KS Stock Essential Ep.07 : การขยับของ "ค่าเงิน" กุญแจไขทิศทาง FUND FLOW

​.

บทความโดย K WEALTH TRAINER สุวิมล ยิ่งเจริญรุ่งโรจน์ CFP®
KBank LIVE
 

ติดตามข่าวสารการเงินจาก
K WEALTH ฟรี!

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง