K WEALTH /
บทความ /
Market Update / หุ้นไทยเอาไงดี กับทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้น
31 มกราคม 2565
3 นาที
หุ้นไทยเอาไงดี กับทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้น
“
• SET Index มีความสัมพันธ์เป็นลบกับการขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย คือเมื่อดอกเบี้ยขึ้น หุ้นจะลง
• บล.กสิกรไทย มองว่า หุ้นกลุ่มค้าปลีก พลังงานและสาธารณูปโภค การแพทย์ และธนาคาร เป็นกลุ่มที่จะได้รับประโยชน์ในช่วงดอกเบี้ยขาขึ้น
• แนะนำให้นักลงทุนปรับพอร์ตการลงทุนในไตรมาสแรก โดยเปลี่ยนจากหุ้นกลุ่ม Growth ที่เน้นการเติบโตสูงมาเป็นหุ้นกลุ่ม Value ที่มีปัจจัยพื้นฐานดี เพื่อลดความผันผวนของพอร์ตลง ส่วนคนที่รอจังหวะเข้าลงทุนหุ้นไทย แนะนำพักเงินในกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นตามระยะเวลาลงทุน เช่น กองทุน K-SF กองทุน K-SFPLUS เพราะได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาขึ้น
“
ช่วงนี้หากใครได้ติดตามข่าวหรือไปเดินจ่ายตลาดซื้อกับข้าวเข้าบ้านจะเห็นว่าข้าวของแพงขึ้นมาก ทั้งเนื้อหมู เนื้อไก่ ไข่ไก่ และน้ำมันพืชที่ราคาปรับตัวสูงขึ้น เงินที่มีอยู่ก็จับจ่ายซื้อของได้น้อยลง เกิดภาวะเงินเฟ้อขึ้น ซึ่งทางบล.กสิกรไทย มองว่า การเพิ่มขึ้นของเงินเฟ้อรอบนี้เกิดขึ้นชั่วคราว โดยคาดการณ์เงินเฟ้อไทยปี 65 อยู่ที่ 1.7% ซึ่งไม่ใช่แค่บ้านเราเท่านั้นที่เผชิญกับภาวะเงินเฟ้อ เพราะสถานการณ์เงินเฟ้อเกิดขึ้นทั่วโลก ทั้งยุโรป อเมริกา เมื่อเกิดภาวะเงินเฟ้อเช่นนี้ก็เริ่มมีสัญญาณการปรับขึ้นดอกเบี้ยตามมาเพื่อลดความร้อนแรงของเศรษฐกิจและทำให้เงินเฟ้อชะลอลง โดยคาดว่า Fed จะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 3-4 ครั้งในปีนี้ ซึ่งจะปรับขึ้นครั้งแรกในเดือนมี.ค. 65 แล้วทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้นจะส่งผลอย่างไรต่อตลาดหุ้นไทย หุ้นกลุ่มไหนจะได้ประโยชน์ มาติดตามกัน
ดอกเบี้ยขาขึ้นส่งผลอย่างไรต่อตลาดหุ้นไทย
เมื่อทิศทางดอกเบี้ยมีแนวโน้มเป็นช่วงขาขึ้นแบบนี้ ลองมาดูความสัมพันธ์ระหว่างดัชนีราคาหุ้นตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET Index) กับดอกเบี้ยนโยบายว่าเป็นอย่างไร
จากข้อมูลในช่วงปี 2002-2021 ที่ผ่านมา พบว่า SET Index มีความสัมพันธ์เป็นลบกับการขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย คือ ดอกเบี้ยขึ้น หุ้นจะลง เนื่องจากหุ้นมีความเสี่ยงมากกว่าตราสารหนี้ การที่ผลตอบแทนของตราสารหนี้สูงขึ้นจึงทำให้ความน่าสนใจของหุ้นลดน้อยลง ราคาหุ้นจึงปรับตัวลดลงนั่นเอง
หุ้นกลุ่มไหนได้ประโยชน์
จากสถานการณ์เงินเฟ้อและทิศทางดอกเบี้ยที่อยู่ในช่วงขาขึ้นนั้น ทางบล.กสิกรไทย มองว่า หุ้นกลุ่มที่จะได้รับประโยชน์ในเรื่องนี้ ได้แก่ • กลุ่มค้าปลีก (Commerce) ประเภท Consumer Staples คือ สินค้าที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตประจำวัน เช่น เสื้อผ้า อาหาร สบู่ ทิชชู ยาสีฟัน
• กลุ่มพลังงานและสาธารณูปโภค (Energy & Utilities) คือ ผู้ผลิต สำรวจ ขุดเจาะ กลั่น และตัวแทนจำหน่ายพลังงานธรรมชาติในรูปต่างๆ เช่น น้ำมันและก๊าซธรรมชาติ รวมถึงผู้ให้บริการสาธารณูปโภค เช่น ไฟฟ้า ประปา และแก๊ส
• กลุ่มการแพทย์ (Health Care Services) คือ ผู้ให้บริการทางการแพทย์ ทันตแพทย์ ศัลยกรรมความงาม การฟื้นฟูสุขภาพและสมรรถภาพทางกายอื่นๆ
• กลุ่มธนาคาร (Banking) คือ ผู้ประกอบธุรกิจธนาคาร สถาบันการเงิน
ทั้งนี้ เนื่องจากหุ้นกลุ่มที่กล่าวมาส่วนใหญ่เป็นกลุ่มสินค้าจำเป็น เรียกว่าเป็นปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีพเลยก็ว่าได้ จึงอาจไม่ได้รับผลกระทบมากนัก
นักลงทุนควรทำอย่างไร
แนะนำให้นักลงทุนปรับพอร์ตการลงทุนในช่วงไตรมาสแรก โดยเปลี่ยนจากหุ้นกลุ่ม Growth ที่เน้นการเติบโตสูงมาเป็นหุ้นกลุ่ม Value ที่มีปัจจัยพื้นฐานดีและได้รับประโยชน์จากทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้น เพื่อลดความผันผวนของพอร์ตลง ส่วนคนที่กำลังรอจังหวะเข้าลงทุนในหุ้นไทย แนะนำให้พักเงินในกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น เพราะได้ประโยชน์จากสถานการณ์ดอกเบี้ยขาขึ้น ทำให้มีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้นจากตราสารหนี้ที่ออกใหม่ และมีความผันผวนน้อยกว่าตราสารหนี้ระยะกลาง-ยาว โดยแนะนำพักเงินในกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นตามระยะเวลาในการลงทุน ดังนี้
- หากลงทุนได้มากกว่า 1 เดือน แนะนำ กองทุน K-SF
- หากลงทุนได้มากกว่า 3 เดือน แนะนำ กองทุน K-SFPLUS
นอกจากนี้ นักลงทุนควรติดตามสถานการณ์เงินเฟ้ออย่างใกล้ชิดว่าจะมีความยืดเยื้อยาวนานแค่ไหน รวมถึงติดตามการประชุมนโยบายการเงิน และการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายซึ่งจะส่งผลต่อตลาดหุ้น สถานการณ์การลงทุน และผลตอบแทนที่จะได้รับ
Disclaimer: “ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน”
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
Stock101 Season 2 EP.21 : เงินเฟ้อพุ่ง ! ดอกเบี้ยขยับ ! ปรับพอร์ตเข้าหุ้นกลุ่มไหน?
Stock Essential Ep.03 : เงินเฟ้อ เงินฝืด.. สัญญาณอันตราย ! ของตลาดหุ้น
บทความโดย K WEALTH TRAINER สุวิมล ยิ่งเจริญรุ่งโรจน์ CFP®