K WEALTH / บทความ / Wealth Management / ทำไม Netflix ถึงน่าลงทุน
12 พฤศจิกายน 2564
3 นาที

ทำไม Netflix ถึงน่าลงทุน


​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​“ 

● Netflix ตอกย้ำคำว่า Content is King ผ่านซีรี่ส์ยอดฮิต 3 เรื่อง อย่าง Squid Game, You หรือ Narcos: Mexico ช่วยปลุกรายได้และดันยอด Subscriber ทะลุ 214 ล้านราย

 ​​​

● นอกจากรายได้หลักจากค่าสมาชิกแล้ว Netflix ยังต่อยอดรายได้อื่นจากภาพยนตร์หรือซีรี่ส์ ด้วยการจับมือกับพันธมิตร เพื่อขายสินค้าจากภาพยนตร์หรือซีรี่ส์ยอดนิยม รวมถึงการนำตัวละครยอดนิยมไปต่อยอดในตลาดเกมออนไลน์อีกด้วย ​


● Netflix เป็นบริษัท Online Streaming ที่ไม่เพียงสร้างความสุขให้กับผู้ชม แต่ยังเป็นโอกาสในการลงทุนทั้งโดยตรง เช่น หุ้นต่างประเทศ / กองทุน ETF ในต่างประเทศ และโดยอ้อมผ่านกองทุนต่างประเทศ เช่นกัน ​

​“


          จากยอดผู้ชมซีรี่ส์ทั่วโลก Top 3 ของ Netflix ปี 2021 (ข้อมูล ณ วันที่ 7 พ.ย. 64)* คือ 1.Squid Game“สควิดเกม เล่นลุ้นตาย” 2.You “เธอ” Season 3 และ 3.Narcos: Mexico “นาร์โคส ฝ่าปฏิบัติการทลายยาเสพติด” โดยเฉพาะ Squid Game ที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก ทำลายสถิติยอดผู้ชมหนังสูงสุดของ Netflix 142 ล้านคนดู** และสร้างรายได้สูงถึง 30,000 ล้านบาทในช่วง 4 สัปดาห์แรกนับจากเปิดตัว โดยนักวิเคราะห์คาดว่าจะช่วยปลุกรายได้ของ Netflix ในไตรมาส 3 ให้เพิ่มขึ้น 17% จากปีที่แล้วมาอยู่ที่ 7,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนรายได้สุทธิจะเพิ่มสูงขึ้น 47% เป็น 1,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และดันมูลค่าหุ้นในตลาดขึ้นมาอยู่ที่ 2.56 ดอลลาร์สหรัฐต่อหุ้น**

Netflix มียอด Subscriber อันดับ 1 ในตลาด​​​​​​​​​

          จากสถานการณ์โควิด 19 ทำให้ธุรกิจ Online Streaming ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็น Netflix, Disney+, YouTube, Facebook Live, Amazon Prime หรือ iQIYI โดยเฉพาะ Netflix หนึ่งในกลุ่มบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ในสหรัฐ ที่เรียกว่า FANGMAN (Facebook, Apple, Netflix, Google, Microsoft, Amazon และ Nvidia)ที่ตั้งขึ้นในช่วงปี 2540 โดยปี 2563 Netflix มีรายได้ 24.99 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ กำไรสุทธิ 2.76 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และมูลค่าตลาด (Market Cap) ราว 305.77 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ 

          Netflix มีรายได้หลักมาจากค่าสมาชิกรายเดือน 3 ระดับ คือ Basic, Standard และ Premium ค่าใช้จ่ายหลักๆ จะแบ่งเป็น ค่าสร้างหนังหรือซีรี่ส์ กับ ค่าซื้อสิทธิในการฉายหนังหรือซีรี่ส์ โดยจะมี Partner กับ บริษัทผลิตสมาร์ททีวี เพื่อติดตั้งเมนู Netflix ในสมาร์ททีวี บริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมเกมต่างๆ รวมถึงเครือข่ายช่องทีวี จุดเด่นของบริษัท คือ ฉายหนังหรือซีรี่ส์ตลอด 24 ชั่วโมงโดยไม่มีโฆษณาคั่น เข้าถึงได้หลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นมือถือ คอมพิวเตอร์ หรือทีวี สามารถทดลองใช้ฟรี 30 วัน และยกเลิกสมาชิกได้ตลอดเวลา*** ซึ่งปัจจุบัน Netflix มีสมาชิก (Subscriber) อยู่ที่ 214 ล้านราย เป็นอันดับ 1 ในอุตสาหกรรม Online Streaming นั่นเอง  

แนวโน้มของธุรกิจ Online Streaming​​​​​​​​​

          การเป็นที่ 1 นั้นไม่ยากเท่าการรักษาที่ 1 ไว้ ในธุรกิจ Online Streaming มีการแข่งขันรุนแรง**** จากผู้เล่นที่ย้ายตลาดมาและได้รับผลกระทบจากการปิดโรงหนังของ 2 สตูดิโอสำคัญ อย่าง Disney และ Warner Bros ทำให้เปิดตัว Disney+ (ฉายหนังของ Disney) เพื่อขยายตลาดมาที่ Online Streaming ตั้งแต่ปี 2562 และ HBO MAX (ฉายหนังของ Warner) เปิดตัวในปี 2563 และให้บริการเฉพาะในสหรัฐฯ ประเทศเดียว ส่งผลให้ในช่วงครึ่งปีแรก ของปี 2564 โตไม่เป็นตามคาด ถือว่ามีการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น 

          ในช่วงกลางปี 2564 Netflix เห็นสัญญาณชะลอตัวของธุรกิจ Online Streaming จึงหาแนวทางเพิ่มรายได้ด้วยการนำลิขสิทธิ์ของ Content มาขายเป็นสินค้า โดย Netflix ได้จับมือกับ Walmart, Amazon และ Saphora เพื่อเป็นแหล่งขายสินค้าจากภาพยนตร์และซีรี่ส์ที่มีอยู่***** หรืออย่างซีรี่ส์ Squid Game ที่ออกในเดือน ก.ย. 64 ก็ถือเป็น Series ภาษาต่างประเทศที่ประสบความสำเร็จ ตอกย้ำคำว่า “Content is King” ซึ่งช่วยขยายตลาดสมาชิกนอกสหรัฐฯ ได้มากขึ้น 

           นอกจากนี้ กระแสเกมที่กำลังมาแรง Netflix ก็เปิดตัวเกมทางมือถือ 5 เกม****** คือ Stranger Things: 1984 (BonusXP), Stranger Things 3: The Game (BonusXP), Card Blast (Amuz & Rogue Games), Shooting Hoops (Frosty Pop) และ Teeter Up (Frosty Pop) ซึ่งเป็นเกมที่ตัวละครมาจากหนังหรือซีรี่ส์ เพื่อเชื่อมความชอบของตัวละครในภาพยนตร์หรือซีรี่ส์ ผ่านประสบการณ์การเล่นเกมอีกด้วย จะเห็นว่า ท่ามกลางการแข่งขันที่สูง Netflix ได้มีการปรับตัวอยู่ตลอด เพื่อเพิ่มรายได้จากช่องทางอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น แหล่งขายสินค้าจากภาพยนต์และซีรี่ส์ที่มีอยู่ หรือ เพิ่มตัวละครในรูปแบบเกมเพื่อสร้าง Engagement กับผู้ที่ชื่นชอบภาพยนตร์หรือซีรี่ส์ ​​ 

Investor Tips​​​​

          Netflix เป็นบริษัท Online Streaming ยักษ์ใหญ่ที่มีจำนวนสมาชิกเติบโต จาก 22 ล้านราย ในปี 2554 เพิ่มเป็น 214 ล้านรายในปัจจุบัน โดยปรับเปลี่ยนจากผู้รวบรวมภาพยนตร์ มาเป็น ผู้ผลิตภาพยนต์หรือซีรี่ส์ที่มีลิขสิทธิ์คอนเทนท์ ของตนเอง โดย Netflix จดทะเบียนในตลาด NASDAQ ประเทศสหรัฐฯ มี Ticker Code : NFLX US 

          ดังนั้น หากสนใจลงทุนใน Netflix สามารถเลือกลงทุนหลายทางเลือก เช่น ลงทุนในหุ้น Netflix โดยตรง หรือลงทุนผ่านกองทุน ETF ที่ลงทุนใน Netflix อย่าง Invesco QQQ Trust, Series 1 (QQQ US) ใช้ Ticker Code ในการซื้อขายว่า “QQQ US” โดยนักลงทุนต้องเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นต่างประเทศ (Offshore) ก่อน โดยสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.kasikornsecurities.com/th/product/offshore-investment​ 

           อีกทางเลือกเป็นการลงทุนที่กระจายความเสี่ยงผ่านกองทุนรวมที่ลงทุนใน Netflix อย่าง K-USXNDQ-A(A) หรือ K-USANDQ-A(D) ที่เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน Invesco QQQ Trust, Series 1 มีนโยบายการลงทุนให้มีผลตอบแทนตามดัชนีหุ้นสหรัฐฯ NASDAQ-100 และมีการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนไม่น้อยกว่า 75% ของมูลค่าเงินลงทุนต่างประเทศ โดยสามารถดูข้อมูลกองทุนเพิ่มเติมได้ที่>> https://www.kasikornasset.com/th/mutual-fund/fund-template/Pages/K-USXNDQ-A(A).aspx​ 

 ขอบคุณข้อมูลจาก : KSecurities, Finnomena, The Standard 
เรียบเรียงโดย : K-Wealth Guru  

บทความโดย K WEALTH GURU สุนิติ ถนัดวณิชย์ (CFP®)
KBank LIVE
 

ติดตามข่าวสารการเงินจาก
K WEALTH ฟรี!

ผลิตภัณฑ์ที่แนะนำ

กองทุนเปิดเค หุ้นยูเอส ดัชนีเอ็นดีคิว 100-A ชนิดสะสมมูลค่า

ดูเพิ่มเติม

​​ลงทุนหุ้นทั่วโลกด้วยผลตอบแทนที่คุ้มค่า​

ดูเพิ่มเติม