ในช่วงภาวะเศรษฐกิจฝืดเคือง จำนวนคดีฉกชิงวิ่งราวจะมีสูงขึ้นเป็นเงาตามตัว แต่จากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการฝากถอนโอนเงินในบัญชีธนาคารมาเป็นช่องทาง Mobile Banking มากขึ้น มิจฉาชีพก็มีการปรับพฤติกรรมในการหลอกล่อ ให้โอนเงินไปยังบัญชีม้า (บัญชีของบุคคลอื่น ที่นำมาใช้โอนเข้า-ออกของมิจฉาชีพ เพื่อไม่ให้เชื่อมโยงเส้นทางการเงินไปยังตัวมิจฉาชีพเอง) คำถามคือ แล้วจะมีวิธีเก็บเงินอย่างไร ให้ปลอดภัยจากมิจฉาชีพ บทความนี้สรุปมาให้ 3 วิธี ที่จะทำให้มิจฉาชีพแห้วโอกาสได้เงินของเรา บทความนี้สรุปมาให้แล้ว
วิธีปิดความเสี่ยงด้วยการไม่รับเบอร์แปลก ไม่กด Link ใดๆ
วิธีนี้ เป็นวิธีที่ปิดความเสี่ยงในการติดต่อกับมิจฉาชีพได้ดีเลย เนื่องจากปัจจุบันสถาบันการเงินได้งดส่ง Link ผ่านทางช่องทางต่างๆ เช่น SMS Email และทาง Social Media อย่างไรก็ตาม การเลือกไม่รับเบอร์แปลก อาจทำให้คนที่ต้องการติดต่อค้าขายกัน มีความไม่สะดวกสบายอยู่บ้าง และนั่นจึงยังเป็นช่องให้มิจฉาชีพใช้เป็นโอกาสที่จะติดต่อเราได้
วิธีกระจายความเสี่ยงด้วยการแยกอุปกรณ์ที่ใช้ App สถาบันการเงิน
เพื่อไม่ให้มิจฉาชีพเข้าถึง App การเงินได้ จำเป็นต้องแยกอุปกรณ์ที่ใช้ปกติ กับ อุปกรณ์ที่ใช้ติดตั้ง App การเงิน ทำให้การเข้าถึง App สถาบันการเงินทำได้ยากเช่นกัน วิธีนี้ก็ช่วยลดความเสี่ยงจากมิจฉาชีพได้ แต่ทำให้เราต้องพกอุปกรณ์ 2 เครื่อง ซึ่งอาจจะไม่สะดวกสำหรับบางคน
3 วิธีเก็บเงิน ให้ปลอดภัยจากมิจฉาชีพ
นอกจากจะใช้จัดการบัญชีเงินเก็บ เพื่อไม่ให้มิจฉาชีพเข้าถึงได้ผ่าน App โดยตรงแล้ว ยังได้ผลตอบแทนจากการฝากเงินหรือลงทุนได้อีกด้วย เช่น
1.เพิ่มบัญชีออมทรัพย์เฉพาะที่ใช้ใน App
วิธีนี้ จะจำกัดบัญชีที่อยู่ใน App เฉพาะที่ใช้งานเป็นประจำ และลดความเสี่ยงจากบัญชีออมทรัพย์อื่นๆที่ทิ้งไว้นาน แต่ก็จะไม่เห็นภาพรวมของบัญชีเงินฝากทั้งหมดที่มีกับธนาคารใน App เดียว
2.แยกบัญชีออมทรัพย์ กับ บัญชีเงินฝากประจำ
วิธีนี้ จะช่วยปิดความเสี่ยงได้ เนื่องจากจะแสดงยอดเงินฝากออมทรัพย์และฝากประจำไว้ใน App ได้ แต่เงินฝากประจำทำรายการผ่านทาง App ไม่ได้ ต้องไปถอนที่สาขาเท่านั้น อย่างไรก็ตาม เงินฝากประจำ จะได้อัตราดอกเบี้ยสูงกว่าออมทรัพย์ และถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 15% ของดอกเบี้ยรับ
3.แยกบัญชีออมทรัพย์ กับ บัญชีกองทุนรวม
วิธีนี้ จะปิดความเสี่ยงได้ เนื่องจากจะแสดงยอดเงินฝากออมทรัพย์ และบัญชีกองทุนรวมได้ โดยขายกองทุนจะได้รับเงินเร็วที่สุด ในวันทำการถัดไป (วันที่ทำรายการ+1 วันทำการ) ทำให้ถึงแม้จะทำรายการขายหน่วยลงทุนจะรับเงินในบัญชีออมทรัพย์ และไม่ได้รับเงินในทันที ทำให้รอดปลอดภัยจากมิจฉาชีพแน่นอน โดยบัญชีกองทุนรวมมี 2 ประเภทใหญ่ คือ
3.1 กองทุนรวมทั่วไป จะมีนโยบายลงทุนตั้งแต่ตราสารหนี้ระยะสั้น (เสี่ยงน้อย) ไปยังการลงทุนทางเลือก (เสี่ยงมาก) สำหรับผู้ที่เริ่มต้นลงทุนกองทุนรวม แนะนำให้เริ่มต้นจากกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น อย่าง K-SF ซึ่งมีนโยบายการลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้น ซื้อขายได้ทุกวันทำการ ขายจะได้รับเงินในวันทำการถัดไป ซึ่งมีความเสี่ยงน้อย และผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี อยู่ที่ 1.82% ต่อปี (ณ วันที่ 30 เม.ย. 67) มากกว่าอัตราดอกเบี้ยออมทรัพย์ที่ 0.30% ต่อปี หรือจะเลือกลงทุนกองทุนผสม(ตราสารหนี้+หุ้น)ที่ลงทุนได้ทุกสภาวะตลาด เหมาะการลงทุนระยะยาว มากกว่า 1 ปีขึ้นไป อย่าง K-WPSPEEDUP ที่มีผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี อยู่ที่ 9.41% ต่อปี (ณ วันที่ 30 เม.ย. 67) ซึ่งมีความเสี่ยงสูงกว่ากองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น เป็นต้น
3.2 กองทุนรวมลดหย่อนภาษี จะมีนโยบายการลงทุนให้เลือกหลากหลาย แต่ต้องดูเงื่อนไขในภาษีก่อนการตัดสินใจลงทุน ดังนั้น สามารถเลือกลงทุนได้ ไม่เพียงมิจฉาชีพจะยุ่งกับเงินก้อนนี้ไม่ได้ ลูกค้ายังได้ผลตอบแทนจากกองทุนลดหย่อนภาษีได้อีกด้วย
จากวิธีการต่างๆ เพื่อลดความเสี่ยงของมิจฉาชีพ ในการดูดเงินออกจากบัญชีทาง App การจัดการบัญชีต่างๆ จึงเป็นเรื่องสำคัญ และการเข้าใจบัญชีกองทุนรวม ก่อนการตัดสินใจลงทุนเป็นเรื่องสำคัญ เพราะไม่อยากให้หนีเสือปะจระเข้ ที่จะพยายามหนีมิจฉาชีพ แต่กลับมาเจอผลขาดทุนจากการลงทุนแบบที่ไม่เข้าใจ