คู่มือช่วยเลือกประกันเด็ก สำหรับพ่อแม่มือใหม่

กดฟัง
หยุด

• ประกันสุขภาพเด็ก แบบผู้ป่วยใน (IPD) ควรทำตั้งแต่แรกเกิด เพื่อคุ้มครองโรคที่เกิดทั้งหมด และความถี่ในการเจ็บป่วย และควรพ่วงกับประกันอุบัติเหตุ เพื่อให้สบายใจในการดูแลลูกน้อย


• จ่ายเอง (Self Insure) ดีกว่าไหม ต้องบอกว่า ค่ารักษาพยาบาลเด็กต่อครั้งค่อนข้างสูง และมีโอกาสเกิดบ่อย การทำประกันจะช่วยโอนความเสี่ยงจะครอบคลุมและคุ้มค่ากว่า


• ระยะเวลาของความคุ้มครอง เป็นอีกเรื่องที่ต้องพิจารณา เช่น ถ้าต้องการกันเงินเป็นค่าเล่าเรียนลูก หรือ ทุนเมื่อลูกเรียนจบ แนะนำให้เลือกระยะเวลาความคุ้มครองให้สอดคล้องกับช่วงเวลาที่ลูกเรียนจบหรือต้องใช้เงิน



การทำประกันให้ลูก โดยเฉพาะประกันสุขภาพของลูกน้อย ของที่ไหนดี มักเป็นคำถามสำหรับพ่อแม่มือใหม่ จะทำดีไหม พอไปศึกษามีหลากหลายแบบมาก จะเลือกแบบไหนดี แล้วความคุ้มครองครอบคลุมเรื่องอะไรบ้าง สรุปให้แบบเป็นคู่มือเบื้องต้น ดังนี้



ประกันที่เด็กต้องมี

1.ประกันสุขภาพ แบ่งเป็นค่ารักษาพยาบาลแบบผู้ป่วยใน (IPD) กรณีเจ็บป่วยต้องนอนโรงพยาบาล เป็นเวลาอย่างน้อย 6 ชั่วโมง ซึ่งจะครอบคลุม ค่าห้อง ค่าอาหาร ค่าแพทย์ ค่าพยาบาล ค่ายาและเวชภัณฑ์ต่างๆ ที่ใช้ระหว่างการรักษาตัวในโรงพยาบาล กับ แบบผู้ป่วยนอก (OPD) โดยส่วนใหญ่อายุเด็กที่เริ่มทำประกันสุขภาพได้ คือ ตั้งแต่ 30 วันขึ้นไป สำหรับลูกอายุไม่เกิน 5 ปี แนะนำให้ทำประกันสุขภาพผู้ป่วยในก่อน เนื่องจากสิ่งที่พ่อแม่จะเจอเมื่อลูกเจ็บป่วย คือ อาการป่วยต่างๆ เช่น มีน้ำมูก ไอ หรือร้องไห้จากอาการเจ็บป่วยต่างๆ ทำให้ต้องมาหาคุณหมอเพื่อดูอาการ พ่อแม่มือใหม่จะต้องเจอทางเลือกระหว่าง Admit ที่โรงพยาบาลเพื่อดูอาการ กับ กลับไปดูที่บ้าน ซึ่งเพื่อความสบายใจก็มักจะเลือกให้อยู่ดูอาการ และอาการเจ็บป่วยแบบนี้ มีโอกาสเกิดบ่อยจนถึงอายุ 5 ปี


2.ประกันอุบัติเหตุ เป็นเรื่องค่ารักษาพยาบาล อันมีสาเหตุมาจากอุบัติเหตุ ซึ่งก็จะสอดคล้องกับพฤติกรรมเด็กที่ซุกซน และเกิดเหตุที่ไม่คาดคิดได้ เช่น ประตูหนีบ เป็นผู้ใหญ่ก็คงดูแผลและอาการภายนอก หากเป็นเด็กเล็ก ก็อาจจะกังวลทั้งอาการภายใน เช่น กระดูก หรือ เส้นเอ็นต่างๆ มีผลจากอุบัติเหตุไหม ซึ่งจะมีผลต่อการเจริญเติบโตด้วย ดังนั้น ก็จะสบายใจในตรวจสอบหรือหาผลกระทบจากอุบัติเหตุนั้น หากจะต้องทำประกันสุขภาพอยู่แล้ว แนะนำให้ลองพ่วงด้วยประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคลเข้าไปด้วย จะช่วยให้มีครอบคลุมค่าใช้จ่ายส่วนนี้มากขึ้น


3.ประกันแบบสะสมทรัพย์ เป็นเรื่องการเก็บเงินให้เด็ก สิ่งที่จะได้จากการทำประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ คือ ความคุ้มครองชีวิตของผู้เอาประกัน กับ การออมเงินในระยะยาว พูดง่ายๆ หากครบกำหนดสัญญา ผู้เอาประกันยังมีชีวิต จะได้เงินคืน ผลประโยชน์ตามที่กรมธรรม์กำหนดมาทั้งหมด มองแบบนี้ จะใส่ชื่อผู้เอาประกัน เป็นลูก ผู้รับประโยชน์เป็นใครก็ได้ หากผู้เอาประกันจากไปก่อนครบกำหนดสัญญา ผู้รับประโยชน์จะได้รับสินไหมทดแทนชีวิต ตามที่กำหนดในกรมธรรม์ หรือจะใส่ชื่อผู้เอาประกันเป็นพ่อ/แม่ ผู้รับประโยชน์เป็นชื่อลูก เพื่อกันความเสี่ยงกรณีที่คุณพ่อคุณแม่เกิดเหตุไม่คาดการณ์ฝัน แต่ยังมีเงินทุนไว้ให้ลูก เป็นต้น อีกเรื่องที่ต้องพิจารณาคือระยะเวลาในการคุ้มครอง ถ้าเลือกใช้ประกันแบบสะสมทรัพย์เป็นเครื่องมือเก็บเงินเพื่อเป็นค่าเล่าเรียนลูก แนะนำให้เลือกแบบประกันที่ครบกำหนดสัญญาก่อนปีที่เข้าศึกษา เป็นต้น



คำถามยอดฮิตเรื่องประกันสุขภาพ

- ความคุ้มครองควรครอบคลุมอะไรบ้าง

ประกันที่เกี่ยวกับสุขภาพ จะมี 3 กลุ่ม 1.ประกันค่ารักษาพยาบาล ซึ่งจะแบ่งย่อยออกเป็น ค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยใน (IPD) และผู้ป่วยนอก (OPD) 2.ประกันอุบัติเหตุ จะคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลที่เกิดจากอุบัติเหตุ เช่น หกล้ม โดนน้ำร้อนลวก ประตูหนีบ และ 3.ประกันโรคร้ายแรง จะคุ้มครองการตรวจเจอ ค่ารักษาพยาบาลจากโรคร้ายแรง เช่น มือเท้าปาก บาดทะยัก ลมชักรุนแรง แนะนำให้เลือกแบบประกันที่ครอบคลุมทั้งหมด


- ควรทำประกันตั้งแต่อายุเท่าไหร่

ควรทำตั้งแต่แรกเกิด เนื่องจากจะคุ้มครองโรคที่ยังไม่เคยเป็นมาทั้งหมด หากทำล่าช้า โรคที่เคยเป็นมาก่อน อาจไม่อยู่ในความคุ้มครอง หรือ เบี้ยประกันจะปรับขึ้นได้


- ความคุ้มครองจะเลือกอย่างไรให้เหมาะสม

ประกันสุขภาพ ผู้ป่วยใน จะมีให้เลือกอยู่ 2 ลักษณะในตลาด คือ แบบแยกค่าใช้จ่าย ซึ่งจะ มีการกำหนดวงเงินตามประเภทค่าใช้จ่ายรายวัน เช่น ค่าห้อง ค่าอาหาร ค่าแพทย์ ค่าพยาบาล ค่ายา กับ แบบเหมาจ่าย ที่เป็นการกำหนดวงเงินใหญ่มากขึ้นต่อการรักษาต่อเนื่อง 1 ครั้ง เช่น ให้วงเงินมาที่ 5.0 ล้านบาท ก็จะใช้เบิกค่ารักษาพยาบาลเท่าไหร่ก็ได้ให้อยู่ในวงเงิน 5 ล้านบาทนี้ ซึ่งทั้ง 2 แบบ จะมีผลต่อเบี้ยประกัน โดยแบบแยกค่าใช้จ่ายมีเบี้ยถูกกว่าแบบเหมาจ่าย ปัจจุบันในตลาด จะมีการทำทั้ง 2 แบบผสมกัน เช่น กำหนดให้ค่าห้อง ค่าอาหาร เป็นแบบแยกค่าใช้จ่าย ค่ายา เป็นแบบเหมาจ่ายวงเงินใหญ่ เป็นต้น


สรุปสิ่งที่แนะนำ คือ ประกันสุขภาพเด็ก (IPD) ควรเริ่มทำตั้งแต่แรกเกิด เพื่อให้เกิดความคุ้มครองทั้งหมด (เด็กยังไม่มีประวัติการรักษาโรคใดๆ) รวมถึงประกันอุบัติเหตุด้วย ส่วนประกันแบบสะสมทรัพย์ แล้วแต่ทางเลือกในการออมเงินให้ลูก



จ่ายเอง (Self Insure) หรือ ทำประกัน

อ่านมาถึงตรงนี้ อาจจะมีพ่อแม่หลายคน ไม่มั่นใจว่า ควรทำประกันสุขภาพให้ลูกดีไหม หรือ ควรจะรับผิดชอบเอง พูดง่ายๆ ลูกเราก็สตรอง ไม่แพ้ใคร ขอยกตัวอย่าง การรักษาโรคยอดฮิตในเด็ก อย่าง RSV เป็นโรคที่จะมีเสมหะเยอะ แต่เด็กไม่มีแรงหรือไม่รู้จักการกำจัดเสมหะ ทำให้ต้องใช้เครื่องเขย่าปอด/ดูดเสมหะและยาลดเสมหะ ค่าห้อง 4,000 บาท ค่าใช้จ่ายอื่นๆ อีก วันนึง ค่าใช้จ่ายประมาณ 15,000-20,000 บาท อยู่ 3 คืน แปลว่า ค่าใช้จ่ายรักษาอยู่ประมาณ 45,000-60,000 บาท เทียบกับค่าเบี้ยประกัน Health Care Plus ที่เป็นประกันสุขภาพ แผน 5,000 บาท ที่กำหนดอายุรับประกันตั้งแต่ 30 วัน – 5 ปี เบี้ยประกัน 80,720* บาทต่อปี แปลค่าง่ายๆ หากลูกป่วยปีละ 1-2 ครั้ง ก็ครอบคลุมเบี้ยประกันที่จ่ายแล้ว ประกอบกับ ช่วงอายุ 0-5 ปี เป็นช่วงที่มีโอกาสเจ็บป่วยบ่อย ก็ถือเป็นการกันค่าใช้จ่ายไว้ก้อนนึงเพื่อความสบายใจเวลาเจ็บป่วย จะได้ดูแลลูกได้เต็มที่



ตรวจสอบเงื่อนไขและข้อยกเว้นในการทำประกัน

บางกรณีบริษัทประกันอาจจะไม่พิจารณาคุ้มครอง เช่น สุขภาพของเด็กไม่แข็งแรงตั้งแต่กำเนิด หรือ โรคที่เป็นก่อนทำประกัน รวมถึงมาตรฐานประกันสุขภาพแบบใหม่ (New Health Standard) มีโอกาสให้ปรับเปลี่ยนเบี้ยประกันสุขภาพได้ เพื่อบริหารพอร์ตประกันสุขภาพเด็กของแต่ละบริษัทประกัน สิ่งที่มีโอกาสเจอ คือ บริษัทประกันปรับเพิ่มเบี้ยประกัน แม้จะไม่ได้เคลมเลยในปีนั้น แต่เป็นเพราะสัดส่วนประกันสุขภาพมีการเคลมสูง เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีเรื่องการเปิดเผยข้อมูลก่อนทำประกันหรือการปกปิดข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพ ที่จะส่งผลต่อการรับประกันด้วย


คำเตือน : โปรดศึกษารายละเอียดความคุ้มครอง เงื่อนไข และข้อยกเว้นก่อนตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง

*หมายเหตุ : เงื่อนไขในการทำประกันสุขภาพ Health Care Plus สำหรับบุตรอายุ 0-10 ปี คือ กำหนดให้ พ่อ หรือ แม่ต้องเคยมีสัญญาเพิ่มเติมประกันสุขภาพอย่างน้อย 1 กรมธรรม์


ขอขอบคุณข้อมูลจาก :

● เมืองไทยประกันชีวิต

● เมืองไทยประกันภัย