K WEALTH / บทความ / Passive Income คืออะไร? เรื่องต้องรู้ถ้าอยากมั่งคั่งทางการเงิน
19 ธันวาคม 2566
2 นาที

Passive Income คืออะไร? เรื่องต้องรู้ถ้าอยากมั่งคั่งทางการเงิน


​​​​​​​​​​​​​​​​“

• Passive Income คือ รายได้ที่เกิดจากการเป็นเจ้าของทรัพย์สิน หรือเกิดจากการสร้างสินทรัพย์ที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้ เช่น อสังหาริมทรัพย์เพื่อปล่อยเช่า หุ้น กองทุน พันธบัตร ดอกเบี้ย ค่าลิขสิทธิ์ ค่าสิทธิบัตร และเป็นการสร้างความมั่นคงทางการเงินในระยะยาว


• มีวิธีสร้าง Passive Income มากมาย ขึ้นอยู่กับความถนัดและความสนใจของเรา ตัวอย่างวิธีสร้าง Passive Income ที่นิยม ได้แก่ การฝากเงินในธนาคาร การลงทุนในพันธบัตรหรือตราสารหนี้ การลงทุนในกองทุนรวม การลงทุนในหุ้น การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ประกันสะสมทรัพย์ หรือ ประกันบำนาญ


• การลงทุนทุกประเภทมีความเสี่ยง ดังนั้น เราควรศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนลงทุน และควรมีกลยุทธ์การกระจายความเสี่ยง เพื่อลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่งมากเกินไป




ในยุคเศรษฐกิจปัจจุบันที่รายได้จากการทำงานประจำเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอต่อการดำรงชีวิต การสร้างรายได้แบบ Passive จึงกลายเป็นเป้าหมายของใครหลายคนที่ต้องการมีชีวิตที่มั่นคงและอิสระมากขึ้น



ทำความเข้าใจเกี่ยวกับ Passive Income

Passive income คือ รายได้ที่เกิดจากการเป็นเจ้าของทรัพย์สิน หรือเกิดจากการสร้างสินทรัพย์ที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้ เช่น


• รายได้ค่าเข่า จากการเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์เพื่อปล่อยเช่า 

• รายได้เงินปันผล จากการลงทุนในทรัพย์สินทางการเงิน เช่น หุ้น กองทุน 

• รายได้ดอกเบี้ย จากการลงทุนในพันธบัตร เงินฝาก 

• รายได้ค่าลิขสิทธิ์ ค่าสิทธิบัตร จากทรัพย์สินทางปัญญา


Passive income มีความสำคัญต่อความมั่งคั่งทางการเงินของเรา เพราะเป็นการสร้างความมั่นคงทางการเงินให้กับเราในระยะยาว ช่วยให้เราสามารถมีเงินใช้จ่ายได้อย่างเพียงพอแม้ในวันที่เราเกษียณอายุ หรือในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เช่น ตกงาน เจ็บป่วย หรือพิการ



รวมวิธีสร้าง Passive Income ผ่านการลงทุน

มีวิธีสร้าง Passive Income มากมาย ขึ้นอยู่กับความถนัดและความสนใจของเรา ตัวอย่างวิธีสร้าง Passive Income ที่นิยม ได้แก่ 


1. การฝากเงินในธนาคาร 

การฝากเงินในธนาคารเป็นวิธีสร้าง Passive Income ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เพราะมีความง่ายและปลอดภัย ธนาคารจะจ่ายดอกเบี้ยให้กับเงินฝากของเรา ซึ่งอัตราดอกเบี้ยจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับประเภทของบัญชีและระยะเวลาการฝาก

ตัวอย่าง ฝากเงินในบัญชีออมทรัพย์ธนาคารแห่งหนึ่ง อัตราดอกเบี้ย 0.5% ต่อปี ยอดเงินฝาก 1,000,000 บาท จะได้ดอกเบี้ยปีละ 5,000 บาท หรือเดือนละ 416.67 บาท 


2. การลงทุนในพันธบัตรหรือตราสารหนี้ 

ตราสารหนี้ คือ สินทรัพย์ทางการเงินที่ออกโดยภาครัฐหรือเอกชนเพื่อระดมทุน การลงทุนในตราสารหนี้จะให้ผลตอบแทนเป็นดอกเบี้ย ซึ่งอาจได้รับเป็นเงินสดรายเดือนหรือรายปี

ตัวอย่างตราสารหนี้ เช่น พันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้ ตั๋วเงินคลัง ตัวอย่าง ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลอายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ย 2% ต่อปี มูลค่าหน้าตั๋ว 1,000,000 บาท จะได้ดอกเบี้ยปีละ 20,000 บาท หรือเดือนละ 1,666.67 บาท


3. การลงทุนในกองทุนรวม 

กองทุนรวม คือ การลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่างๆ โดยผ่านผู้จัดการกองทุน การลงทุนในกองทุนรวมเป็นวิธีลงทุนที่สะดวก และช่วยให้เราสามารถกระจายความเสี่ยงและลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ ได้ง่ายขึ้น 

ตัวอย่าง กองทุนรวม เช่น กองทุนรวมตราสารหนี้ กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ กองทุนรวมหุ้น ตัวอย่าง ลงทุนในกองทุนรวมที่มีนโยบายจ่ายปันผล และมีประวัติการจ่ายปันผลย้อนหลังเฉลี่ย 4% ต่อปี มูลค่าการลงทุน 1,000,000 บาท จะได้ผลตอบแทนปีละ 40,000 บาท หรือเดือนละ 3,333.33 บาท 


4. การลงทุนในหุ้น

หุ้น คือ หน่วยลงทุนในบริษัทมหาชน การลงทุนในหุ้นจะให้ผลตอบแทนในรูปแบบของเงินปันผล ซึ่งอาจได้รับเป็นเงินสดรายไตรมาสหรือรายปี อัตราปันผลโดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ 2-5% ต่อปี 

ตัวอย่าง ลงทุนในหุ้นของบริษัทจดทะเบียนที่มีอัตราปันผล 5% ต่อปี มูลค่าการลงทุน 1,000,000 บาท จะได้เงินปันผลปีละ 50,000 บาท หรือเดือนละ 4,166.67 บาท 


5. การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ 

อสังหาริมทรัพย์ คือ ที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์จะให้ผลตอบแทนในรูปแบบของค่าเช่า ซึ่งอาจได้รับเป็นเงินสดรายเดือนหรือรายปี ตัวอย่างอสังหาริมทรัพย์ เช่น บ้าน คอนโดมิเนียม ที่ดิน อาคารพาณิชย์ โดยผลตอบแทนจากการเก็บค่าเช่า อยู่ที่ประมาณ 5-10% ต่อปี

ตัวอย่าง ซื้อคอนโดมิเนียมเพื่อปล่อยเช่า มูลค่า 1,000,000 บาท คิดค่าเช่าเดือนละ 6,000 บาท จะได้ค่าเช่าปีละ 72,000 บาท หรือผลตอบแทนที่ 7.2% ต่อปี 


6. ประกันสะสมทรัพย์ หรือ ประกันบำนาญ

ประกันสะสมทรัพย์ และประกันบำนาญเป็นอีกทางเลือกในการสร้าง Passive Income ที่น่าสนใจ เนื่องจากมีการจ่ายผลประโยชน์ที่แน่นอนตามสัญญาที่ระบุไว้ในเงื่อนไขกรมธรรม์ ทำให้ผู้เอาประกันสามารถวางแผนการเงินได้ค่อนข้างแน่นอนกว่าการลงทุนรูปแบบอื่นๆ และยังได้ความคุ้มครองชีวิตอีกด้วย



การบริหารความเสี่ยงในการลงทุนเพื่อรายได้แบบ Passive

การลงทุนทุกประเภทมีความเสี่ยง ดังนั้น เราควรศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนลงทุน และควรมีกลยุทธ์การกระจายความเสี่ยง เพื่อลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่งมากเกินไป


ความเสี่ยงในการลงทุนสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ๆ ได้แก่ 


1. ความเสี่ยงด้านราคา หมายถึง ความเสี่ยงที่มูลค่าของสินทรัพย์ที่ลงทุนจะลดลง ซึ่งอาจเกิดจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น การเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจ การเมือง สภาพคล่องในตลาด หรือนโยบายของภาครัฐ เป็นต้น 


2. ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง หมายถึง ความเสี่ยงที่ไม่สามารถขายสินทรัพย์ที่ลงทุนได้ทันทีที่ต้องการ ซึ่งอาจเกิดจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น มูลค่าของสินทรัพย์ที่ต่ำ สภาพคล่องในตลาดต่ำ หรือมีอุปสงค์ในการซื้อสินทรัพย์น้อย เป็นต้น ​


นอกจากนี้ การลงทุนแต่ละประเภทยังมีความเสี่ยงเฉพาะตัวที่แตกต่างกันไป เช่น การลงทุนในหุ้นมีความเสี่ยงด้านราคาสูง แต่มีโอกาสได้รับผลตอบแทนสูงเช่นกัน ในขณะที่การลงทุนในตราสารหนี้มีความเสี่ยงด้านราคาต่ำ แต่มีโอกาสได้รับผลตอบแทนต่ำเช่นกัน


การสร้าง Passive Income ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่หากเราวางแผนและลงมือทำอย่างรอบคอบ ก็สามารถประสบความสำเร็จได้ และช่วยให้เรามีชีวิตที่มั่นคงและอิสระมากขึ้น


บทความโดย K WEALTH Trainer
KBank LIVE
 

ติดตามข่าวสารการเงินจาก
K WEALTH ฟรี!

ผลิตภัณฑ์ที่แนะนำ