สอบถามเรื่องการเงินหรือนัดผู้เชี่ยวชาญวางแผนการลงทุนได้เลย เพียงสแกน QR Code เพื่อเพิ่มเพื่อนกับ Line KBank Live
สแกน QR Code โดยใช้ กล้องมือถือ หรือ LINE เพื่อดำเนินการต่อบน LINE KBank Live
สอบถามเรื่องการเงิน หรือ สอบถามผู้เชี่ยวชาญ วางแผนการลงทุนได้เลย โทร. 02-8888888 กด 865
สอบถามเรื่องการเงิน หรือ นัดผู้เชี่ยวชาญวางแผนการลงทุนได้เลย
เพียงสแกน QR Code เพื่อเพิ่มเพื่อนกับ
สมัครสมาชิก K WAELTH ฟรี
รวมรายการสิทธิค่าหักลดหย่อนภาษี ปี 2567
ThaiESG / SSF / RMF กองทุนลดหย่อนภาษี
กองทุนรวมแนะนำจาก K WEALTH
มุมมองตลาด
เทคนิคการเก็บเงินให้พอใช้หลังเกษียณ
ค้นหา ผลิตภัณฑ์ กองทุน ประกัน ที่ใช่ที่สุดสำหรับคุณ
พูดคำที่คุณต้องการค้นหา
ไม่เข้าใจ หรือไม่สามารถตรวจสอบได้
วันที่ 09 ตุลาคม 2566
หลายๆท่านอาจทราบดีว่าปัจจุบันเราสามารถไปลงทุนในต่างประเทศง่ายกว่าในอดีตค่อนข้างมาก ซึ่งมีรูปแบบหลักคือ 1.ลงทุนตรงในหลักทรัพย์และลงทุนในกองทุนที่จดทะเบียนต่างประเทศโดยตรง 2.ลงทุนผ่านกองทุนรวมที่มีนโยบายการลงทุนในต่างประเทศ หรือ Foreign Investment Fund (FIF) แต่ทั้ง 2 รูปแบบมีข้อดีข้อเสียที่ต่างกันไป สำหรับข้อดีของการลงทุนโดยตรงที่เด่นชัดคือสามารถซื้อขายได้แบบ Real-time เลือกหลักทรัพย์ได้ตรงกับความต้องการเหมือนการเทรดหุ้นไทย ด้านข้อเสียคือเรื่องของค่าเงินที่เราต้องบริหารจัดการความเสี่ยงเอง อีกประการคือหากอ้างอิงประกาศของกรมสรรพากรล่าสุดที่จะมีผลตั้งแต่ปี 2567 ไม่ว่าจะนำกำไรกลับเข้าไทยในปีไหนก็ต้องนำมารวมคำนวณเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ยกตัวอย่างเช่น ถ้านักลงทุนมีรายได้จากงานประจำที่ต้องเสียภาษีสูงสุด 25% หากมีกำไร 1 แสนบาท จะมีภาระภาษีอีก 25,000 บาท หากนำกำไรจากการลงทุนตรงในต่างประเทศกลับเข้ามา กรณีที่แย่ไปกว่านั้นคืออาจทำให้ฐานภาษีขยับขึ้นเป็น 30% จุดนี้จึงเป็นข้อดีของการลงทุนผ่าน FIF คือ ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับภาระภาษีในอนาคตหากลงทุนไปแล้วเงินเติบโตขึ้นจำนวนมาก รวมถึงมีผู้จัดการกองทุนและทีมงานมืออาชีพมากประสบการณ์คอยดูแลความเสี่ยงซึ่งรวมไปถึงค่าเงินให้ด้วย แต่ก็มีข้อเสียคือเราอาจจะไม่ได้หุ้นทุกตัวที่เราต้องการและไม่เห็น NAV ได้แบบ Real-time โดยข้อมูลจาก กลต. ระบุว่ามีเม็ดเงินลงทุนในหน่วยลงทุน FIF เติบโตขึ้นจาก 4.3 แสนล้านบาท ณ ไตรมาส 1 ปี 2563 เป็น 8.8 แสนล้านบาท ณ สิ้นไตรมาส 2 ปี 2566 คิดเป็นการเติบโตในช่วงเวลาดังกล่าวถึง 104%
*ค่าธรรมเนียมบริหารจัดการรวมของกองทุน K-USXNDQ-A(D) เท่ากับ 0.7174% ต่อปี / ปัจจุบันยกเว้นค่าธรรมเนียมการขาย (Front-end) / ยังไม่รวมผลของต้นทุนการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนและค่าใช้จ่ายอื่นๆ (ถ้ามี) /สมมติฐานจากการลงทุน 5 ปีเท่ากัน / ข้อมูล ณ วันที่ 9 ต.ค. 2566
หากท่านใดยังไม่มั่นใจเรื่องประกาศของสรรพากรว่าจะกระทบต่อภาระทางภาษีในอนาคตเรามากน้อยเพียงใดแล้วอยากนำเงินจากต่างประเทศกลับเข้ามาลงทุนในไทยแต่ก็ไม่อยากลงทุนเพียงเฉพาะในตลาดหุ้นไทยซึ่งที่ผ่านมา 10 ปีก็ดูดัชนีไม่ค่อยไปไหนเท่าไหร่ การไปลงทุนผ่านกองทุน FIF น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด แต่หลายๆท่านก็คงไม่อยากกระจายเงินลงทุนไปในหลายๆแพลตฟอร์มซึ่งยากต่อการบริหารจัดการ การเลือกบริษัทจัดการลงทุนหรือบลจ.ที่มีทางเลือกครอบคลุมมากที่สุดอย่าง KAsset จะช่วยตอบโจทย์ตรงนี้ ไม่ใช่เพียงแค่กองทุนลดหย่อยภาษี SSF RMF นักลงทุนยังสามารถลงทุนในรูปแบบปกติขายคืนเมื่อไหร่ก็ได้ตามต้องการ อาทิ รายประเทศ หุ้นสหรัฐฯ ยุโรป ญี่ปุ่น จีน อินเดีย เวียดนาม หรือจะลงทุนตามเทรนด์ ESG เทคโนโลยี เฮลท์แคร์ และธีมอื่นๆ ขอบอกว่า KAsset มีผลิตภัณฑ์ครบมากเป็นลำดับต้นๆในประเทศไทยเลย โดยปัจจุบันนักลงทุนสามารถซื้อขายกองทุนรวมของ KAsset ผ่านแอพพลิเคชัน KPLUS ของธนาคารกสิกรไทยได้อย่างง่ายดายอีกด้วย
ท่านใดที่เริ่มลงทุน FIF ในปี 2021 เป็นต้นมาอาจจะรู้สึกว่าการฝากเงินไว้เฉยๆจริงๆดีกว่าการลงทุนเสียอีก เพราะไม่ว่าจะไปดูหุ้นสหรัฐฯ หุ้นจีน หุ้นไทย ที่ไหนๆติดลบไปหมด แต่เราอยากจะบอกว่าอย่าพึ่งถอดใจเพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโลกช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาเป็นภาวะไม่ปกติที่สืบเนื่องจากการแพร่ระบาด Covid-19 รัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นชุดใหญ่ในปี 2020 เพื่อเยียวยาผลกระทบจากการ Lockdown แต่กลายเป็นว่าเม็ดเงินเหล่านี้สร้างปัญหาเงินเฟ้อตามมาและธนาคารกลางต้องขึ้นดอกเบี้ยเพื่อยับยั้งในอัตราที่รวดเร็วแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน จึงทำให้ราคาสินทรัพย์ที่ปรับตัวขึ้นไปอย่างรวดเร็วในปี 2020 ปรับตัวกลับลงมาอย่างรวดเร็วเช่นกันในช่วงที่ผ่านมา มองไปข้างหน้าด้วยอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ระดับสูงและยังมีโอกาสเกิดเศรษฐกิจถดถอยในปีหน้า ให้เน้นลงทุนในอุตสาหกรรมหรือธีมที่ยังคงมีแนวโน้มเติบโตชัดเจนในระยะยาว ได้แก่ K-GHEALTH เน้นลงทุนหุ้นเฮลท์แคร์ทั่วโลกที่เติบโตไปกับค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพที่เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง และ K-HIT ที่กระจายการลงทุนในแต่ละธีมที่อยู่ในกระแส ครบ จบ ในกองทุนเดียว โดยทั้งสองกองทุนนี้เน้นถือไม่เกินกองละ 10% ของสัดส่วนเงินลงทุนทั้งหมด แต่หากนักลงทุนรับความเสี่ยงได้สูงอาจพิจารณาเพิ่มกองทุน K-GTECH ที่เน้นหุ้นเทคโนโลยี หรือ K-VIETNAM หุ้นเวียดนามที่เศรษฐกิจกำลังเติบโตร้อนแรงเข้าไปในพอร์ตการลงทุนโดยถือสัดส่วนไม่เกิน 5% แต่แนะนำว่าควรกระจายการลงทุนไปยังกองทุนผสมบางส่วนจะช่วยลดความผันผวนของพอร์ตการลงทุน อาทิ Wealth Plus ซึ่งมีให้เลือกตามระดับความเสี่ยง (WP-LIGHT, WP-BALANCED, WP-SPARK, WP-SPEEDUP, WP-ULTIMATE) สำหรับท่านที่อยากศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับประกาศของสรรรพากรที่ออกมาสามารถดูได้ตามล่างนี้ได้เลย
บทความ วิธีจัดการ เมื่อรายได้จากต่างประเทศ ต้องเสียภาษี
โดยใช้กล้องมือถือ หรือ LINE เพื่อดำเนินการต่อบน K PLUS
รับข่าวสารการเงินผ่าน LINE KBank Live อัปเดตได้ทุกที่ ทันทุกสถานการณ์ ตามติดทุกเทรนด์การลงทุน