เมื่อลงทุนต่างประเทศมีภาษีมาเกี่ยวข้อง… ทำไมกองทุน FIF ถึงตอบโจทย์กว่า

• ลงทุน FIF ข้อดีคือไม่ต้องกังวลภาระภาษีในอนาคตที่สืบเนื่องจากประกาศของกรมสรรพากรล่าสุด


• KAsset มีตัวเลือก FIF ที่ครอบคลุมหลากหลายทั้งรายประเทศและรายอุตสาหกรรม


• กองทุนหุ้น FIF แนะนำจากทางธนาคารกสิกรไทย K-GHEALTH, K-HIT, K-GTECH และ K-VIETNAM



ทางเลือกการลงทุนต่างประเทศของนักลงทุนชาวไทย

หลายๆท่านอาจทราบดีว่าปัจจุบันเราสามารถไปลงทุนในต่างประเทศง่ายกว่าในอดีตค่อนข้างมาก ซึ่งมีรูปแบบหลักคือ 1.ลงทุนตรงในหลักทรัพย์และลงทุนในกองทุนที่จดทะเบียนต่างประเทศโดยตรง 2.ลงทุนผ่านกองทุนรวมที่มีนโยบายการลงทุนในต่างประเทศ หรือ Foreign Investment Fund (FIF) แต่ทั้ง 2 รูปแบบมีข้อดีข้อเสียที่ต่างกันไป สำหรับข้อดีของการลงทุนโดยตรงที่เด่นชัดคือสามารถซื้อขายได้แบบ Real-time เลือกหลักทรัพย์ได้ตรงกับความต้องการเหมือนการเทรดหุ้นไทย ด้านข้อเสียคือเรื่องของค่าเงินที่เราต้องบริหารจัดการความเสี่ยงเอง อีกประการคือหากอ้างอิงประกาศของกรมสรรพากรล่าสุดที่จะมีผลตั้งแต่ปี 2567 ไม่ว่าจะนำกำไรกลับเข้าไทยในปีไหนก็ต้องนำมารวมคำนวณเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ยกตัวอย่างเช่น ถ้านักลงทุนมีรายได้จากงานประจำที่ต้องเสียภาษีสูงสุด 25% หากมีกำไร 1 แสนบาท จะมีภาระภาษีอีก 25,000 บาท หากนำกำไรจากการลงทุนตรงในต่างประเทศกลับเข้ามา กรณีที่แย่ไปกว่านั้นคืออาจทำให้ฐานภาษีขยับขึ้นเป็น 30% จุดนี้จึงเป็นข้อดีของการลงทุนผ่าน FIF คือ ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับภาระภาษีในอนาคตหากลงทุนไปแล้วเงินเติบโตขึ้นจำนวนมาก รวมถึงมีผู้จัดการกองทุนและทีมงานมืออาชีพมากประสบการณ์คอยดูแลความเสี่ยงซึ่งรวมไปถึงค่าเงินให้ด้วย แต่ก็มีข้อเสียคือเราอาจจะไม่ได้หุ้นทุกตัวที่เราต้องการและไม่เห็น NAV ได้แบบ Real-time โดยข้อมูลจาก กลต. ระบุว่ามีเม็ดเงินลงทุนในหน่วยลงทุน FIF เติบโตขึ้นจาก 4.3 แสนล้านบาท ณ ไตรมาส 1 ปี 2563 เป็น 8.8 แสนล้านบาท ณ สิ้นไตรมาส 2 ปี 2566 คิดเป็นการเติบโตในช่วงเวลาดังกล่าวถึง 104%


เปรียบเทียบกำไรสุทธิหากกำไรจากการลงทุนโดยตรง 100,000 บาท กลับเข้ามาในประเทศไทย และการลงทุนผ่าน FIF


ฐานภาษี


Invesco Nasdaq100 ETF (ลงทุนตรง)
K-USXNDQ (FIF)
Gross profit
Net profit (after tax)
Gross profit
Net profit (after fee)
20%
100,000
80,000
100,000
92,183
25%
100,000
75,000
100,000
92,183
30%
100,000
70,000
100,000
92,183

*ค่าธรรมเนียมบริหารจัดการรวมของกองทุน K-USXNDQ-A(D) เท่ากับ 0.7174% ต่อปี / ปัจจุบันยกเว้นค่าธรรมเนียมการขาย (Front-end) / ยังไม่รวมผลของต้นทุนการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนและค่าใช้จ่ายอื่นๆ (ถ้ามี) /สมมติฐานจากการลงทุน 5 ปีเท่ากัน / ข้อมูล ณ วันที่ 9 ต.ค. 2566



KAsset หนึ่งในบลจ. ที่มีตัวเลือกการลงทุน FIF ครอบคลุมมากที่สุด

หากท่านใดยังไม่มั่นใจเรื่องประกาศของสรรพากรว่าจะกระทบต่อภาระทางภาษีในอนาคตเรามากน้อยเพียงใดแล้วอยากนำเงินจากต่างประเทศกลับเข้ามาลงทุนในไทยแต่ก็ไม่อยากลงทุนเพียงเฉพาะในตลาดหุ้นไทยซึ่งที่ผ่านมา 10 ปีก็ดูดัชนีไม่ค่อยไปไหนเท่าไหร่ การไปลงทุนผ่านกองทุน FIF น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด แต่หลายๆท่านก็คงไม่อยากกระจายเงินลงทุนไปในหลายๆแพลตฟอร์มซึ่งยากต่อการบริหารจัดการ การเลือกบริษัทจัดการลงทุนหรือบลจ.ที่มีทางเลือกครอบคลุมมากที่สุดอย่าง KAsset จะช่วยตอบโจทย์ตรงนี้ ไม่ใช่เพียงแค่กองทุนลดหย่อยภาษี SSF RMF นักลงทุนยังสามารถลงทุนในรูปแบบปกติขายคืนเมื่อไหร่ก็ได้ตามต้องการ อาทิ รายประเทศ หุ้นสหรัฐฯ ยุโรป ญี่ปุ่น จีน อินเดีย เวียดนาม หรือจะลงทุนตามเทรนด์ ESG เทคโนโลยี เฮลท์แคร์ และธีมอื่นๆ ขอบอกว่า KAsset มีผลิตภัณฑ์ครบมากเป็นลำดับต้นๆในประเทศไทยเลย โดยปัจจุบันนักลงทุนสามารถซื้อขายกองทุนรวมของ KAsset ผ่านแอพพลิเคชัน KPLUS ของธนาคารกสิกรไทยได้อย่างง่ายดายอีกด้วย





แล้วภาวะตลาดแบบนี้ KBank มองยังไงและควรลงทุน FIF ตัวไหนบ้าง

ท่านใดที่เริ่มลงทุน FIF ในปี 2021 เป็นต้นมาอาจจะรู้สึกว่าการฝากเงินไว้เฉยๆจริงๆดีกว่าการลงทุนเสียอีก เพราะไม่ว่าจะไปดูหุ้นสหรัฐฯ หุ้นจีน หุ้นไทย ที่ไหนๆติดลบไปหมด แต่เราอยากจะบอกว่าอย่าพึ่งถอดใจเพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโลกช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาเป็นภาวะไม่ปกติที่สืบเนื่องจากการแพร่ระบาด Covid-19 รัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นชุดใหญ่ในปี 2020 เพื่อเยียวยาผลกระทบจากการ Lockdown แต่กลายเป็นว่าเม็ดเงินเหล่านี้สร้างปัญหาเงินเฟ้อตามมาและธนาคารกลางต้องขึ้นดอกเบี้ยเพื่อยับยั้งในอัตราที่รวดเร็วแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน จึงทำให้ราคาสินทรัพย์ที่ปรับตัวขึ้นไปอย่างรวดเร็วในปี 2020 ปรับตัวกลับลงมาอย่างรวดเร็วเช่นกันในช่วงที่ผ่านมา มองไปข้างหน้าด้วยอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ระดับสูงและยังมีโอกาสเกิดเศรษฐกิจถดถอยในปีหน้า ให้เน้นลงทุนในอุตสาหกรรมหรือธีมที่ยังคงมีแนวโน้มเติบโตชัดเจนในระยะยาว ได้แก่ K-GHEALTH เน้นลงทุนหุ้นเฮลท์แคร์ทั่วโลกที่เติบโตไปกับค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพที่เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง และ K-HIT ที่กระจายการลงทุนในแต่ละธีมที่อยู่ในกระแส ครบ จบ ในกองทุนเดียว โดยทั้งสองกองทุนนี้เน้นถือไม่เกินกองละ 10% ของสัดส่วนเงินลงทุนทั้งหมด แต่หากนักลงทุนรับความเสี่ยงได้สูงอาจพิจารณาเพิ่มกองทุน K-GTECH ที่เน้นหุ้นเทคโนโลยี หรือ K-VIETNAM หุ้นเวียดนามที่เศรษฐกิจกำลังเติบโตร้อนแรงเข้าไปในพอร์ตการลงทุนโดยถือสัดส่วนไม่เกิน 5% แต่แนะนำว่าควรกระจายการลงทุนไปยังกองทุนผสมบางส่วนจะช่วยลดความผันผวนของพอร์ตการลงทุน อาทิ Wealth Plus ซึ่งมีให้เลือกตามระดับความเสี่ยง (WP-LIGHT, WP-BALANCED, WP-SPARK, WP-SPEEDUP, WP-ULTIMATE) สำหรับท่านที่อยากศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับประกาศของสรรรพากรที่ออกมาสามารถดูได้ตามล่างนี้ได้เลย


บทความ วิธีจัดการ เมื่อรายได้จากต่างประเทศ ต้องเสียภาษี





คำเตือน


ผู้เขียน

K WEALTH Trainer สุกฤษฎิ์ กิตติธนโสภณ
Back to top