"
• คณะกรรมกรรมการนโยบายการเงินธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC) มีมติให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% เป็นไปตามที่คาด ส่งให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ ขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 4.75-5.00%
• แม้จากมุมมองอัตราดอกเบี้ยของคณะกรรมการนโยบายปี 2023 ซึ่งอยู่ที่ 5.00-5.25% สามารถมองได้ว่าจะมีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้อีก 1 ครั้ง แต่นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ เผยในการแถลงข่าวหลังการประชุมว่าคณะกรรมการนโยบายการเงินยังไม่มองว่าจะมีการลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้
"
อัปเดตข่าว/สถานการณ์
เมื่อวันที่ 23 มี.ค. 2566 คณะกรรมกรรมการนโยบายการเงินธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC) มีมติให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% ตามที่นักวิเคราะห์คาดไว้ ส่งให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ ขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 4.75-5.00% เพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อให้กลับลงมาที่เป้าหมาย 2% ซึ่งล่าสุดอัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ (CPI) เดือน ก.พ. อยู่ที่ 6.0% เทียบกับเดือนเดียวกันเมื่อปีก่อน
ผลกระทบที่เกิดขึ้นแล้ว
ดัชนีตลาดหุ้นของสหรัฐฯ ตอบรับในเชิงลบต่อผลการประชุม โดยปิดตลาดในแดนลบทุกดัชนี ดัชนี S&P 500 ปรับตัวลง -1.65% ดัชนี Dow Jones ปรับตัวลง -1.63% และดัชนี Nasdaq ปรับตัวลง -1.60%เทียบกับวันก่อนหน้า ในการประชุมครั้งนี้ได้มีการเปิดเผยมุมมองอัตราดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (Dot plot) ซึ่งมองว่าอัตราดอกเบี้ยปี 2023 จะอยู่ที่ระดับ 5.00-5.25% ขณะที่คาดการณ์ GDP ปี 2023 อยู่ที่ 0.4% อัตราการว่างงานอยู่ที่ 4.5% ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไป (PCE) คาดไว้ที่ 3.3% และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core PCE) คาดไว้ที่ 3.6%
แม้จากมุมมองอัตราดอกเบี้ยของคณะกรรมการนโยบายปี 2023 ซึ่งอยู่ที่ 5.00-5.25% สะท้อนว่าจะมีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้อีก 1 ครั้ง นักลงทุนจึงมองว่าการขึ้นอัตราดอกเบี้ยใกล้ถึงจุดสิ้นสุดแล้ว ซึ่งควรเป็นปัจจัยเชิงบวกต่อตลาดการลงทุน แต่ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐฯ กลับปิดในแดนลบเป็นเพราะนักลงทุนในตลาดต่างคาดหวังว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ จะส่งสัญญาณการลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ แต่นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) เผยในการแถลงข่าวหลังการประชุมว่าคณะกรรมการนโยบายการเงินยังไม่มองว่าจะมีการลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ประกอบกับหลังมีเหตุการณ์การล้มละลายของ Silicon Valley Bank และ Signature Bank ธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้กล่าวถึงระบบการเงินสหรัฐฯ ไว้ในแถลงการณ์ดังนี้ “ระบบธนาคารสหรัฐฯ มีความมั่นคงและยืดหยุ่น การพัฒนาจากเหตุการณ์ล่าสุดมีแนวโน้มที่จะส่งผลให้เงื่อนไขการให้สินเชื่อเข้มงวดขึ้นสำหรับครัวเรือนและธุรกิจ และส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ การจ้างงาน และอัตราเงินเฟ้อ” ซึ่งเป็นอีกประเด็นที่สร้างความกังวลให้นักลงทุนในตลาด
มุมมองการลงทุน
•ตลาดหุ้นสหรัฐฯ กลับมามีความผันผวนในระยะสั้นถึงกลาง จากความกังวลกรณีธนาคารล้มละลายและแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อที่ยังไม่ชัดเจน ซึ่งหากยืดเยื้อจะส่งผลให้ต้องมีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากกว่าที่คาดไว้
•ส่วนผลจากการขึ้นอัตราดอกเบี้ย เงื่อนไขการปล่อยสินเชื่อที่เข้มงวดขึ้น จะส่งให้เศรษฐกิจเติบโตลดลงจากปีก่อนสร้างแรงกดดันต่อผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน ซึ่งเป็นปัจจัยที่ต้องระมัดระวังในการลงทุนสำหรับปี 2023
คำแนะนำการลงทุน
•สำหรับนักลงทุนที่มีความกังวลต่อสภาพเศรษฐกิจปี 2023 ที่อาจชะลอตัว แนะนำพิจารณาลงทุนกองทุน Healthcare ผ่าน K-GHEALTH ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่มีรายได้และกำไรสม่ำเสมอ ทนทานต่อสภาพเศรษฐกิจชะลอตัว
•ผู้ที่รับความเสี่ยงจากการลงทุนได้ แนะนำพิจารณาลงทุนกองทุนหุ้นไทย เช่น K-STAR และกองทุนหุ้นจีน เช่น K-CHX เพื่อรับอานิสงส์จากการลดมาตรการควบคุม COVID-19 ของประเทศจีน ที่หนุนการท่องเที่ยวและการบริโภคภายในทั้งประเทศจีนและไทย หรือ K-PLAN3 ที่เป็นกองทุนผสมมีการลงทุนหุ้นไม่เกิน 55% เป็นต้น
•ผู้ถือกองทุนตราสารหนี้ แนะนำถือลงทุนตามระยะเวลาที่แนะนำเพื่อโอกาสรับผลตอบแทนและลดความเสี่ยงที่จะขาดทุน เช่น กองทุน K-CBOND-A แนะนำถือลงทุน 1 ปีขึ้นไป กองทุน K-FIXED-A แนะนำถือลงทุน 1.5 ปีขึ้นไป
•สำหรับผู้ที่ยังกังวลกับความผันผวนของตลาดหุ้น แนะนำพักเงินในกองทุน K-SF ซึ่งเหมาะกับการพักเงิน 3 เดือนขึ้นไป เพื่อรอจังหวะเข้าลงทุนอีกครั้ง
ขอขอบคุณข้อมูลจาก:
•FOMC
•CNBC
•Bloomberg
Disclaimer: “ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน”