ประเด็นร้อน : กองทุน K-GOLD ยืนบวก ท่ามกลางวิกฤติ SVB - Credit Suisse

"

• ตั้งแต่ 8 มี.ค. 66 ราคากองทุน K-GOLD มีการปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดย ณ 20 มี.ค. ราคามีการปรับตัวขึ้นมา +9.38% (8-20 มี.ค.) โดยวันที่ 20 มี.ค. วันเดียวมีการปรับตัวขึ้น +3.16%เทียบกับวันก่อนหน้า สวนทางกับตลาดหุ้นและกองทุนหุ้นทั่วไปที่เริ่มมีการปรับตัวลงค่อนข้างมากตั้งแต่วันที่ 8-9 มี.ค. เช่น K-CHINA ที่วันที่ 20 มี.ค. วันเดียวราคาปรับตัวลง -2.37%เทียบกับวันก่อนหน้า

"



สาเหตุที่ K-GOLD ปรับตัวขึ้น สวนทางตลาดหุ้น


K-GOLD เป็นกองทุนที่เน้นลงทุนในทองคำแท่ง (ลงทุนผ่านกองทุนหลัก SPDR Gold Trust) ซึ่งทองคำเป็นสินทรัพย์หรือทางเลือกการลงทุนที่ได้ชื่อว่าเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในยามเกิดวิกฤติ เห็นได้จากราคากองทุน K-GOLD ที่มีการปรับตัวขึ้นในช่วงปี 63 ที่เป็นช่วงของการแพร่ระบาด COVID-19 โดยราคากองทุน K-GOLD-A(D) ระหว่างวันที่ 19 มี.ค. – 7 ส.ค. 63 (วันที่ราคาปรับตัวสูงสุดในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน) มีการปรับตัวขึ้นถึง +33.04% (ยังไม่รวมเงินปันผลที่ได้รับ) หรือในช่วงการเริ่มต้นสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่เริ่มเมื่อ 24 ก.พ. 65 ราคากองทุน K-GOLD ระหว่างวันที่ 24 ก.พ. – 9 มี.ค. 65 (วันที่ราคาปรับตัวสูงสุดในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน) หรือนับเป็น 10 วันทำการ มีการปรับตัวขึ้น +4.23% (ยังไม่รวมเงินปันผลที่ได้รับ)

การปรับตัวขึ้นของกองทุน K-GOLD ครั้งนี้ก็เช่นกัน ที่เกิดสถานการณ์ที่สร้างความกังวลใจให้กับเหล่านักลงทุน ได้แก่ การที่ธนาคาร Silicon Valley Bank (SVB) ของสหรัฐฯ ถูก FDIC (หน่วยงานคุ้มครองเงินฝากของสหรัฐฯ) สั่งปิดและเข้าควบคุมกิจการ หลัง SVB เข้าสู่ภาวะล้มละลาย และปัญหาสภาพคล่องของธนาคาร Credit Suisse (CS) ของสวิตเซอร์แลนด์ ส่งผลให้กองทุนหุ้นต่างๆ ปรับตัวลง เช่น กองทุนหุ้นสหรัฐฯ กองทุนหุ้นยุโรป กองทุนหุ้นไทย ฯลฯ ตามที่ K WEALTH ได้มีการจัดทำประเด็นร้อนเรื่อง "ปิดธนาคาร SVB กระทบตลาดและนักลงทุนแค่ไหน" เมื่อวันที่ 13 มี.ค. และเรื่อง "ตลาดยุโรปผันผวน หุ้นเครดิตสวิสร่วง แต่ทางการพร้อมเข้าดูแลหยุดวิกฤติ" เมื่อวันที่ 16 มี.ค. ไปแล้ว


คำแนะนำการลงทุน K-GOLD

เนื่องจากผลตอบแทนของกองทุน K-GOLD มักเคลื่อนไหวในทิศทางที่ต่างจากกองทุนหุ้นทั่วไป โดยเฉพาะในช่วงที่มีวิกฤติหรือสถานการณ์ความไม่แน่นอน ซึ่งช่วงวันที่ 8-20 มี.ค. ราคากองทุน K-GOLD โดยรวมมีการเคลื่อนไหวในทิศทางที่ต่างจากกองทุนหุ้นสหรัฐฯ หุ้นยุโรป หุ้นจีน และหุ้นไทย ดังนี้




ดังนั้นผู้ที่มีการลงทุนในกองทุนหุ้นต่างๆ ควรแบ่งเงินประมาณ 5%ของเงินลงทุนที่มี มาลงทุนในกองทุน K-GOLD สำหรับผู้ที่ถือกองทุน K-GOLD อยู่แล้ว สามารถถือลงทุนต่อในสัดส่วนที่เหมาะสมได้ เพื่อกระจายความเสี่ยง และลดความผันผวนของเงินลงทุนโดยรวมลง

สำหรับผู้ที่ถือกองทุนอื่น เช่น K-USA-A(A), K-EUROPE-A(D), K-CHINA-A(A), K-STAR-A(A) ซึ่งมีการปรับตัวลงในช่วงนี้ หากรับความเสี่ยงได้หรือเป็นเงินลงทุนระยะยาว แนะนำให้ถือลงทุนต่อเพื่อรอประเมินสถานการณ์ แต่หากมองว่าการปรับตัวลงของกองทุนหุ้นและตลาดหุ้นเป็นโอกาสการลงทุน และต้องการลงทุนเพิ่ม แนะนำให้ลงทุนกองทุนรวมผสม เช่น K-PLAN2, K-PLAN3 ที่มีการแบ่งสัดส่วนและกระจายการลงทุนที่หลากหลาย เพื่อลดความผันผวนของเงินลงทุนแทนการแบ่งหรือหรือกระจายเงินลงทุนด้วยตนเอง

ขอขอบคุณข้อมูลจาก :
KAsset
Ryt9

Disclaimer: “ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน”



คำเตือน


ผู้เขียน

K WEALTH TRAINER ราชันย์ ตันติจินดา CFP®
Back to top