ช่วงนี้หลายคนพูดถึงค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงเรื่อยๆ โดยอ่อนค่าแตะระดับ 36.35 บาทต่อดอลลาร์ ณ วันที่ 7 ก.ค. 65 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นระดับที่อ่อนค่ามากที่สุดในรอบเกือบ 6 ปีครึ่งเลยก็ว่าได้ โดยนับตั้งแต่ต้นปีเป็นต้นมา เงินบาทอ่อนค่าลงไปแล้วกว่า 7.6% และไม่ใช่แค่ค่าเงินบาทไทยเท่านั้นที่อ่อนค่า นับตั้งแต่ต้นปีค่าเงินทั่วเอเชียก็อ่อนค่าลงระหว่าง 5.0-8.5% ด้วยเช่นกัน ทั้งญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ เกาหลีใต้ มาเลเซีย เวียดนาม อินโดนีเซีย แล้วเงินบาทที่อ่อนค่าลงนี้เกิดจากสาเหตุอะไร และจะส่งผลกระทบอย่างไรต่อประชาชน นักลงทุน และคนทำธุรกิจ ติดตามได้จากบทความนี้
สาเหตุที่เงินบาทอ่อนค่าเกิดจากอะไร
สาเหตุที่ทำให้เงินบาทอ่อนค่าลงในรอบนี้เกิดจาก
- ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ Fed เริ่มลดขนาดงบดุล (Quantitative Tightening : QT)
ตั้งแต่เดือนมิ.ย. 65 ที่ผ่านมา Fed เริ่มทยอยปรับลดขนาดงบดุล ซึ่งในงบดุลประกอบด้วยพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ และตราสารหนี้ที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยเป็นหลักประกันการจำนอง (MBS) โดยจะปล่อยให้ตราสารเหล่านี้ครบอายุในแต่ละเดือนโดยที่ไม่มีการซื้อเพิ่มเติม ซึ่งส่งผลให้ปริมาณเงินดอลลาร์ในระบบลดลง เงินไหลกลับเข้ามา ทำให้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น และกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลง
- การเร่งขึ้นดอกเบี้ยของ Fed เพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อ
เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นตามแนวโน้มการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ที่เปลี่ยนมาใช้นโยบายการเงินแบบเข้มงวดเพื่อสกัดเงินเฟ้อ ซึ่งจากผลการประชุมนโยบายการเงินของ Fed ในรอบเดือนมิ.ย. 65 ที่ผ่านมาจบลงด้วยการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.75% ไปอยู่ที่ 1.75% ซึ่งเป็นผลมาจากตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ ในเดือนพ.ค. 65 ที่เร่งตัวสูงขึ้นไปที่ 8.6% ถือว่าสูงสุดในรอบ 40 ปี นอกจากนี้ ตามธรรมชาติแล้วเงินจะไหลจากที่ที่ได้ผลตอบแทนน้อยไปหาที่ที่ได้ผลตอบแทนสูงกว่า ดังนั้น เมื่อ Fed ขึ้นดอกเบี้ยนโยบายไปอยู่ที่ 1.75% ในขณะที่การประชุม กนง. ของไทยในเดือนเดียวกันยังคงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.50% ทำให้มีส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสูงถึง 1.25% เมื่อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ให้ผลตอบแทนสูงกว่าพันธบัตรรัฐบาลไทย การลงทุนในสหรัฐฯ จึงมีความน่าสนใจมากกว่า เงินจึงไหลออกไปยังสหรัฐฯ และทำให้ค่าเงินบาทอ่อนลงนั่นเอง
เงินบาทอ่อนค่าส่งผลอย่างไร
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการที่ค่าเงินบาทอ่อนค่า ได้แก่
- ต้นทุนการนำเข้าสินค้าสูงขึ้น แต่เป็นผลดีกับการส่งออก
เงินบาทที่อ่อนค่าทำให้ต้นทุนการนำเข้าสินค้า รวมถึงเครื่องจักร ชิ้นส่วนอุปกรณ์ต่างๆ สูงขึ้น เนื่องจากต้องใช้เงินบาทในจำนวนที่มากขึ้นเพื่อซื้อสินค้าจากต่างประเทศเข้ามา ในทางกลับกันจะเป็นผลดีกับการส่งออกเพราะรายได้ที่ได้รับมาเป็นสกุลเงินต่างประเทศสามารถแลกกลับมาเป็นเงินบาทในจำนวนที่มากขึ้น ซึ่งจากข้อมูลการค้าระหว่างประเทศของไทยในเดือนเมษายน 2565 พบว่า ไทยส่งออกมูลค่า 782,146.10 ล้านบาท ในขณะที่นำเข้ามูลค่า 856,252.57 ล้านบาท ทำให้ไทยขาดดุลการค้ามูลค่า 74,106.47 ล้านบาท เนื่องจากมีการนำเข้ามากกว่าการส่งออกนั่นเอง
- ต้นทุนการกู้ยืมเงินต่างประเทศสูงขึ้น
สำหรับธุรกิจที่มีการกู้ยืมเงินจากต่างประเทศหรือค้างชำระค่าสินค้าบริการอยู่จะมีภาระหนี้สินเพิ่มขึ้นทันที เพราะต้องใช้เงินบาทในจำนวนที่มากขึ้นเพื่อชำระหนี้สกุลเงินต่างประเทศ ซึ่งจากข้อมูล ณ เดือนธันวาคม 2564 พบว่า ไทยมีหนี้ต่างประเทศ ทั้งส่วนที่เป็นของรัฐบาล สถาบันการเงิน และภาคเอกชนรวมกันทั้งสิ้น 7 ล้านล้านบาท ในขณะที่มีทุนสำรองระหว่างประเทศอยู่ที่ 8 ล้านล้านบาท คิดเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศต่อหนี้ต่างประเทศอยู่ที่ 114% ซึ่งถือว่าค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในเอเชีย
- ค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปเที่ยวหรือศึกษาต่อต่างประเทศสูงขึ้น
ส่วนคนที่วางแผนเดินทางไปเที่ยวหรือศึกษาต่อต่างประเทศอย่างสหรัฐอเมริกา หลังจากที่เปิดประเทศแล้วจะมีต้นทุนค่าใช้จ่ายในการไปเที่ยวหรือศึกษาต่อที่สูงขึ้น รวมถึงการซื้อสินค้าหรือบริการต่างๆ ก็จะมีราคาแพงขึ้นด้วย
เงินบาทจะอ่อนค่าถึงเมื่อไหร่
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า สำหรับทิศทางเงินบาทนั้น แม้จะเห็นการขายเงินดอลลาร์ฯ เมื่อเทียบกับเงินบาทเพื่อปรับโพสิชันทำกำไรบ้าง แต่คาดว่าเงินบาทจะยังมีโอกาสอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ดอกเบี้ยไทยจะเริ่มขยับขึ้น แต่ดอกเบี้ยของ Fed มีการเร่งตัวขึ้นเร็วกว่า
คำแนะนำในการจัดการเงิน
คำแนะนำสำหรับการเดินทางไปต่างประเทศ การลงทุน และการทำธุรกิจในช่วงเงินบาทอ่อนค่า ได้แก่
- ผู้ที่ต้องการเดินทางไปต่างประเทศสามารถเดินทางได้ แต่การเดินทางในช่วงนี้จะมีต้นทุนค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง หากเชื่อว่าเงินบาทจะอ่อนค่าอย่างต่อเนื่อง แนะนำให้แลกเงินไว้ล่วงหน้า
- ผู้ที่ลงทุนในกองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนในต่างประเทศให้เลือกลงทุนในกองทุนที่มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เพื่อลดผลกระทบหรือความกังวลใจจากการขึ้นลงของค่าเงิน และช่วยให้เราลงทุนกองทุนรวมต่างประเทศได้อย่างสบายใจมากขึ้น
- ผู้ที่ลงทุนในตลาดหุ้นควรเลือกลงทุนในหุ้นกลุ่มส่งออก เช่น กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์และชิ้นส่วน อาหาร เพราะได้ประโยชน์จากการแปลงเงินดอลลาร์กลับมาเป็นเงินบาทที่มากขึ้น และหลีกเลี่ยงหุ้นกลุ่มพลังงาน โรงไฟฟ้า ที่ได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทอ่อนค่าเนื่องจากมีการกู้เงินสกุลเงินดอลลาร์มาใช้
- ผู้ที่มีทองคำในพอร์ต ถือเป็นจังหวะขายทำกำไร แล้วเหลือไว้ในพอร์ตที่ 5-10% เพราะเมื่อเงินบาทอ่อนค่า ราคาทองคำมีแนวโน้มจะปรับตัวเพิ่มขึ้น
- ผู้ประกอบการที่มีการทำธุรกิจเกี่ยวกับการนำเข้าและส่งออก แนะนำให้ฝากเงินเข้าบัญชีเงินฝากเงินตราต่างประเทศ หรือบัญชี FCD และเมื่อต้องชำระเงินต่างประเทศ ก็ให้โอนเงินออกจากบัญชี FCD โดยสามารถใช้ Forward หรือ Option ได้ตามความเหมาะสมเพื่อช่วยบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
Disclaimer: “ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน”
ขอขอบคุณข้อมูลจาก :
• KResearch Econ Digest: เฟดขึ้นดอกเบี้ยรอบใหญ่...สาเหตุหลักกดดันบาทอ่อน แม้ดอกเบี้ยไทยเริ่มขยับขึ้น แต่ดอกเบี้ยเฟดเร่งตัวเร็วกว่า
https://www.kasikornresearch.com/th/analysis/k-social-media/Pages/FED-FB-17-06-2022.aspx
• KResearch Econ Digest: ค่าเงินบาทของไทย เป็นอย่างไรเมื่อเทียบกับภูมิภาค?
https://www.kasikornresearch.com/th/analysis/k-social-media/Pages/TH-Baht-FB-07-07-2022.aspx
• กระทรวงพาณิชย์
http://www.ops3.moc.go.th/thtrade/sarup.htm