Display mode (Doesn't show in master page preview)
Skip Ribbon Commands
Skip to main content

ควรปรับกลยุทธ์การลงทุนอย่างไรเพื่อรับความเสี่ยงจากวิกฤตโควิด-19

ควรปรับกลยุทธ์การลงทุนอย่างไรเพื่อรับความเสี่ยงจากวิกฤตโควิด-19

​​​​​โดย นางสาวศิริพร สุวรรณการ Financial Advisory Head Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย


ปีนี้เป็นอีกหนึ่งปีแห่งความท้าทายในโลกของการลงทุน นับตั้งแต่ต้นปีจนถึงสิ้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ตลาดหุ้นโลกปรับลดลงไปแล้ว 22% ขณะที่ราคาพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี และราคาทองคำพุ่งขึ้น 11% และ 5% ตามลำดับ1

KBank Private Banking ผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารความมั่งคั่งอย่างครบวงจรชั้นนำของประเทศไทย ได้เตรียมรับมือความเสี่ยง ด้วยการจัดสรรและปรับพอร์ตการลงทุนของลูกค้า ผ่านการผสมผสานหลากหลายสินทรัพย์และกลไกควบคุมความเสี่ยง ซึ่งจะช่วยให้เกิดผลขาดทุนน้อยกว่า เมื่อเทียบกับการลงทุนแบบดั้งเดิม

กลยุทธ์การปรับพอร์ต เพื่อเตรียมรับความผันผวน

ท่ามกลางความตื่นตระหนกเช่นนี้ คงยากที่จะหาพอร์ตการลงทุนที่สามารถหลีกเลี่ยงภาวะขาดทุนได้ อย่างไรก็ตาม KBank Private Banking ตระหนักถึงสถานการณ์เช่นนี้ดี และได้มีการปรับคำแนะนำแก่ลูกค้า โดยได้ปรับพอร์ตการลงทุนต่างๆ อยู่ในโหมดระมัดระวัง มาตั้งแต่ปี 2019 ที่ราคาสินทรัพย์พุ่งขึ้นภายใต้เศรษฐกิจโลกที่อยู่ในช่วงท้ายวัฎจักรของการเติบโต (Late Cycle)

สำหรับการจัดสรรพอร์ตการลงทุน ได้เน้นพอร์ตหลัก (CORE Portfolio) ที่มีการกระจายและการจัดสรรความเสี่ยงในแต่ละสินทรัพย์เป็นอย่างดี พร้อมด้วยพอร์ตเสริม (Satellite Portfolio) โดยได้ลดการลงทุนในหุ้น เพิ่มทองคำ และเพิ่มการถือสินทรัพย์ใกล้เคียงเงินสด ระหว่าง 5-11% ขึ้นอยู่กับกรอบความเสี่ยงของแต่ละพอร์ต

กลยุทธ์การปรับพอร์ตหลัก เพื่อควบคุมผลขาดทุนให้อยู่ในระดับต่ำกว่าตลาด

KBank Private Banking ได้แนะนำให้ลูกค้าลงทุนส่วนใหญ่ในพอร์ตหลักที่มีการบริหารจัดการภายใต้ 2 หลักการสำคัญ

  1. การปรับสมดุลความเสี่ยงของสินทรัพย์ (Risk-based Allocation) กล่าวคือ สินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น หุ้น จะได้รับเงินลงทุนส่วนน้อย ขณะที่สินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ เช่น ตราสารหนี้ จะได้รับเงินลงทุนส่วนใหญ่ ในภาวะที่ตลาดหุ้นมีความเสี่ยงสูงมากกว่าตราสารหนี้ 3 เท่า การกระจายความเสี่ยงที่แท้จริง คือการถือหุ้น 25% ต่อตราสารหนี้ 75% ซึ่งต่างจากการลงทุนแบบดั้งเดิม (Traditional Asset Allocation) ที่มักแบ่งเงินลงทุนอย่างละครึ่ง ทำให้ความเสี่ยงที่แท้จริงกระจุกตัวอยู่ในหุ้น
  2. การปรับพอร์ตอย่างสม่ำเสมอ (Active Rebalancing) ซึ่งมีความจำเป็นและสำคัญมาก เนื่องจากตลาดที่ผันผวน และราคาสินทรัพย์ทั่วโลกที่อ่อนไหว ด้วยปัจจัยขับเคลื่อนต่างๆ มากมายอย่างรวดเร็ว

กลยุทธ์การปรับพอร์ตเสริม เพื่อสร้างการเติบโตในระยะยาว

พอร์ตเสริม หรือ Satellite Portfolio สามารถแบ่งได้เป็น 3 ส่วนย่อย

  1. กลยุทธ์เพื่อสร้างการเติบโต: ปัจจุบัน KBank Private Banking แนะนำให้เลือกลงทุนในหุ้น จีน A Share2 ที่มีกลไกควบคุมความเสี่ยง และในหุ้นธุรกิจ Megatrend เช่น พลังงานแห่งอนาคต การจัดการคุณภาพดินและน้ำ และเทคโนโลยีเพื่อสุขภาพ เป็นต้น
  2. กลยุทธ์เพื่อสะสมรายได้: KBank Private Banking แนะนำให้กระจายการลงทุนใน REITs หรือ หน่วยทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ โดยเน้นที่เอเชีย และการลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้สกุลดอลล่าร์สหรัฐฯ ของผู้ออกซึ่งเป็นบริษัทที่แข็งแกร่งในภูมิภาคเอเชีย
  3. กลยุทธ์ที่ไม่อ้างอิงกับภาวะตลาด (Uncorrelated Strategies) เช่น การลงทุนในทองคำ ตราสารหนี้ และอัตราแลกเปลี่ยน เป็นต้น
    นักลงทุนควรถือลงทุนต่อหรือไม่

KBank Private Banking ยังคงคำแนะนำให้นักลงทุนถือลงทุนต่อ (Stay Invested) เนื่องด้วยการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เป็นปัจจัยชั่วคราว แม้จะไม่มีใครรู้ว่าตลาดจะกลับมาฟื้นตัวเร็วหรือช้า แต่จาก ประสบการณ์ที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นจากโรคระบาดซาร์สในปี 2003 และวิกฤติเศรษฐกิจในปี 2008 ตลาดกลับมาฟื้นตัวได้ดีทุกครั้ง





1จากต้นปี 2020 ถึง 30 มีนาคม 2020

2หุ้นจีน A Share คือหุ้นจีนที่จดทะเบียน และซื้อขายในตลาดหุ้นจีน เซียงไฮ้ และเซินเจิ้น


กลับ
PRIVATE BANKING