Display mode (Doesn't show in master page preview)
Turn on more accessible mode
Skip Ribbon Commands
Skip to main content
Turn off Animations

หุ้นนอกตลาด เมื่อวิกฤตคือโอกาส (ตอนที่ 1)

หุ้นนอกตลาด เมื่อวิกฤตคือโอกาส (ตอนที่ 1)

การรับมือกับการแพร่ระบาดของโรคโควิต 19 รวมถึงการปิดเมือง  ส่งผลให้เศรษฐกิจกำลังเข้าสู่ภาวะถดถอย มีธุรกิจที่ต้องล้มหายตายจากไป แต่ก็มีบางธุรกิจที่จะเติบโตได้ดีขึ้นและได้ประโยชน์จากสถานการณ์ “ปกติแบบใหม่ (New Normal)" ด้วยซ้ำ แม้ว่าปัจจุปันจะมีธุรกิจหลากหลายอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ และมีราคาที่ลดลงไปมาก เมื่อเปรียบเทียบกับก่อนที่จะมีโรคโควิด 19 แต่ราคาและโอกาสของการลงทุนในหุ้นนอกตลาดหลักทรัพย์หรือที่เรียกว่า Private Equity ซึ่งเป็นหนึ่งในการลงทุนทางเลือก (Alternative investment) ก็มีความน่าสนใจมากเช่นกัน

การลงทุนในหุ้นบริษัทนอกตลาดนั้นมีหลายช่วง หลายรูปแบบ และความเสี่ยงของการลงทุนจะแตกต่างกันไป โดยจะขอแบ่งรูปแบบการลงทุนในหุ้นบริษัทนอกตลาด เป็น 4 ช่วงของวงจรบริษัท ได้แก่

  1. ลงทุนในช่วงที่บริษัทพึ่งก่อตั้งและยังไม่มีอะไรเลย มีเพียงความฝันของผู้ก่อตั้ง (Startup Capital) หรือขยับขึ้นมาหน่อยคือช่วงที่เริ่มมีของขายแต่อาจจะยังไม่ได้กำไร (Venture Capital) ซึ่งบริษัทในช่วงต้นนี้จะมีความเสี่ยงสูงมากที่จะล้ม แต่ถ้าทำสำเร็จก็จะได้ผลตอบแทนสูงเป็นหลายๆ เท่าของการลงทุน ในช่วงนี้ผู้ร่วมทุนจะคอยให้ความช่วยเหลือบริษัทอย่างใกล้ชิด การลงทุนในแต่ละบริษัทจึงต้องเป็นจำนวนไม่มาก กระจายไปในการลงทุนที่หลากหลายบริษัท หลายอุตสาหกรรม
  2. ช่วงที่บริษัทเพิ่มยอดขายและต้องการเงินทุนเพิ่ม (Growth Capital) ช่วงนี้บริษัทส่วนใหญ่จะมีสินค้าชัดเจน มีความโดดเด่นในการแข่งขัน เริ่มมีรายได้ และต้องการขยาย จึงต้องการทุนเพิ่มขึ้นมาก ทั้งในส่วนของเงินกู้และเพิ่มทุน ในช่วงนี้ถ้าผู้ร่วมทุนสามารถช่วยให้บริษัทเติบโตได้ดีขึ้น เช่น การขยายตลาด หรือการช่วยทำให้บริษัทมีระบบที่ดีขึ้น เพื่อทำให้ราคาหุ้นต่อยอดขายดีขึ้นด้วย เมื่อการลงทุนในช่วงเวลานี้ ความเสี่ยงน้อยลงกว่าแบบแรก จึงสามารถลดจำนวนบริษัทและอุตสาหกรรมได้  
  3. ช่วงที่บริษัทเป็นผู้นำของตลาด และควบรวมบริษัทเพื่อเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ (Buyout Capital) ช่วงนี้บริษัทมักจะโตแล้ว มีรายได้ที่ชัดเจน แต่การทำให้รายได้เพิ่มสูงขึ้น บริษัทอาจต้องอาศัยการปรับโครงสร้างของบริษัท การควบรวมกิจการของคู่แข่ง และการขายกิจการบางส่วน เพื่อให้มีประสิทธภาพในการแข่งขันมากขึ้น โดยการทำสิ่งเหล่านี้จำเป็นต้องอาศัยอำนาจการตัดสินใจและกลยุทธ์ของบริษัทที่ชัดเจน การลงทุนในบริษัทเหล่านี้มักจะใช้ต้นทุนสูง ต้องใช้มืออาชีพที่มีความรู้ความสามารถที่จะดำเนินให้มีผลกำไรเพิ่มขึ้นในระยะยาวได้ เพื่อให้มีการกระจายความเสี่ยงที่ดี จำเป็นต้องมีการรวมทุนที่ค่อนข้างใหญ่
  4. ช่วงทีบริษัทซบเซา อยู่ในขาลง หรือมีปัญหาเฉพาะของบริษัท แม้บางบริษัทจะอยู่ในตลาดแล้วแต่ไม่โต            ก็สามารถออกจากตลาดมาปรับโครงสร้างได้ การดำเนินการจะคล้ายกับ Buyout Capital ซึ่งต้องอาศัยอำนาจการตัดสินใจทิศทางของบริษัท ปรับโครงสร้างลดต้นทุน และต้องใช้เงินทุนมากเช่นกันเพื่อให้มีการกระจายความเสี่ยงที่เพียงพอ

 

ทั้งสี่ช่วงของการลงทุนใน Private Equity มีความแตกต่างและซับซ้อน นักลงทุนควรมีการกระจายความเสี่ยงในการซื้อกองทุนที่มีการกระจายบริษัทที่ลงทุนอย่างเหมาะสม และต้องอาศัยผู้จัดการกองทุนที่มีความชำนาญเฉพาะทาง ในการซื้อขายบริษัท เข้าใจถึงความเสี่ยงขององค์กร ความเสี่ยงของอุตสาหกรรม สามารถเพิ่มศักยภาพของบริษัทที่ซื้อได้ และที่สำคัญต้องสามารถหาบริษัทที่น่าจะซื้อ ในราคาที่เหมาะสมได้ 

การกระจายลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือกอย่าง Private Equity มากขึ้นในช่วงนี้ เป็นโอกาสท่ามกลางวิกฤต ซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง ประกอบกับในสภาวะดอกเบี้ยขาลงที่ช่วยให้บริษัทเหล่านี้มีผลประกอบการที่ดีขึ้น ที่ผ่านมา KBank Private Banking ได้เคยแนะนำการลงทุนในกองทุน Private Equity ไปแล้วเมื่อปีที่ผ่านมา ซึ่งปัจจุบันกองนี้ยังมีสภาพคล่องอยู่ที่จะใช้เลือกซื้อบริษัทดีๆ ที่มีคนขายออกมามากขึ้น หรือมีราคาที่ดีขึ้นในช่วงวิกฤตโรคโควิด 19 และในอนาคตอันใกล้นี้ ทาง KBank Private Banking จะมีกองทุน Private Equity ที่จะแนะนำในลักษณะคล้ายกันนี้ออกมาอีก ซึ่งจะอธิบายรายละเอียดในตอนต่อไป


ประจำวันที่ 11 พฤษภาคม 2563


กลับ
PRIVATE BANKING