“
● Semiconductor วัสดุสำคัญที่ใช้กับผลิตภัณฑ์มากมาย ซึ่ง 1 ปีที่ผ่านมาราคาหุ้นของบริษัทที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจนี้ ก็เติบโตมาแล้วหลักสิบถึงหลักร้อยเปอร์เซ็นต์
● Semiconductor ที่ขาดแคลน คือ โอกาสการเติบโตของธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ซึ่งสามารถร่วมการเติบโตนี้ได้ง่ายๆ ผ่านกองทุนรวม
“
Semiconductor (เซมิคอนดักเตอร์) หรือเรียกสั้นๆ ว่า ชิป คือ สารกึ่งตัวนำ ที่ใช้เป็นวัสดุในผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น รถยนต์ไฮบริด รถยนต์ไฟฟ้า แท็บเล็ต สมาร์ทโฟน อุปกรณ์ไฟฟ้า อุปกรณ์ไอทีและอิเล็กทรอนิกส์อีกมากมาย ซึ่งล้วนเป็นที่นิยมของผู้บริโภคมากขึ้นในช่วงที่ผ่านมาและยังคงมีแนวโน้มมากขึ้นในอนาคต ในขณะที่ปัจจุบันชิปกลับกำลังขาดแคลน
ทำไม Semiconductor ถึงขาดแคลน
ผู้ประกอบธุรกิจที่เกี่ยวข้องหรือ Player มีน้อยราย เนื่องจาก ชิป เป็นสิ่งที่ต้องอาศัยเทคโนโลยีชั้นสูง ไม่ใช่ว่าใครจะเข้ามาผลิตหรือพัฒนาได้ง่ายๆ ในขณะที่ความต้องการผลิตภัณฑ์ที่มีชิปเป็นส่วนประกอบเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะช่วง COVID-19 ที่ผู้บริโภคมีความต้องการอุปกรณ์ไอทีสำหรับกิจกรรมที่บ้านไม่ว่าการดูหนังฟังเพลง หรือ Work From Home ประกอบกับเป็นช่วงที่ Cryptocurrency ได้ความนิยมมากขึ้น ประชาชนในบางประเทศก็หันมาขุด Cryptocurrency มากขึ้น ซึ่งก็ต้องมีการใช้อุปกรณ์ไอทีที่มีประสิทธิภาพเพียงพอด้วย
อีกทั้งชิปในอุปกรณ์แต่ละประเภทมีความต่างกัน สายการผลิตชิปของสมาร์ทโฟนย่อมไม่สามารถผลิตชิปของรถยนต์ไฟฟ้าได้ โดยในช่วงต้นของ COVID-19 ที่ยอดขายรถยนต์ลดลงอย่างกะทันหัน ผู้ผลิตรถยนต์ส่วนใหญ่จึงลดกำลังการผลิตลงและลดคำสั่งซื้อชิปล่วงหน้าลง ส่งผลให้ผู้ผลิตชิปจำเป็นต้องเปลี่ยนสายการผลิตชิปให้อุปกรณ์ประเภทอื่นแทน เช่น แท็บเล็ต สมาร์ทโฟน ฯลฯ ที่กำลังการผลิตก็ยังอาจไม่เพียงพอกับความต้องการ และเมื่อยอดขายรถยนต์กลับมาเร็วกว่าคาดผู้ผลิตชิปก็ไม่สามารถเปลี่ยนสายผลิตกลับมาได้ทัน ส่งผลให้เกิดการขาดแคลนชิปสำหรับผลิตภัณฑ์ต่างๆ ในวงกว้าง
โอกาสเติบโตไปกับ Semiconductor
จากสถานการณ์ขาดแคลนชิป อุตสาหกรรมนี้จึงมีโอกาสเติบโตได้มาก ประกอบกับมี Player น้อยราย ทำให้รายได้และกำไรของ Player มีโอกาสเติบโตขึ้นได้ไม่ยากเลย ซึ่งเห็นได้จาก MSCI World Semiconductors and Semiconductor Equipment Index ในช่วงประมาณ 10 ปีที่ผ่านมา (13 ธ.ค. 53 - 22 ต.ค. 64) เติบโตถึง 727% ซึ่งสูงกว่าดัชนีภาพรวมบริษัทกลุ่มเทคโนโลยีอย่าง NASDAQ ที่เติบโตเพียง 552% ในช่วงเวลาเดียวกัน
Key Player ในอุตสาหกรรมนี้ แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลัก โดยมีหลายบริษัทที่ให้ผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้น ย้อนหลังในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ณ 26 พ.ย. 64 ที่อยู่ในระดับที่สูงจนน่าประทับใจเลย ได้แก่
1) บริษัทผู้ออกแบบชิป ที่เป็นผู้กำหนดสเปคชิปที่ต้องการ เพื่อนำไปใช้กับผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น
● Apple ธุรกิจสมาร์ทโฟนที่หลายคนรู้จัก มีผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี 34.5%
● NVIDIA ทำเทคโนโลยีทางด้านกราฟิก มีผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี 137.56%
● Parade Technologies ที่รับงานออกแบบชิป มีผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี 99.04%
(2) บริษัทรับสร้างผลิตชิป เช่น
● TSMC (Taiwan Semiconductor Manufacturing Company) ผู้ผลิตชิประดับโลกจากไต้หวัน ที่ผลิตชิปให้กับ Apple มีผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี 18.58%
● Samsung Electronics ผู้นำด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีระดับโลกจากเกาหลี ที่มีการตั้งโรงงานผลิตชิปตั้งแต่ปี 2017 และมีแผนสร้างโรงงานเพิ่มเพื่อเริ่มผลิตในครึ่งหลังของปี 2024 มีผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี 6.01%
● Infineon Technologies AG บริษัทสัญชาติเยอรมัน มีผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี 27.64%
(3) บริษัทผู้ผลิตและขายเครื่องผลิตชิป เช่น
● ASML ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องจักรผลิตชิป มีผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี 78.64%
● Lasertec Corp ผู้ผลิตเครื่องจักรเพื่อทดสอบชิป มีผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี 171.88%
หนึ่งในทางเลือกการลงทุนเพื่อให้เงินมีโอกาสเติบโตไปพร้อมกับธุรกิจ Semiconductor คือการลงทุนผ่านกองทุนรวม ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ 2 รูปแบบ ได้แก่ กองทุนที่มีนโยบายการลงทุนในธีม Semiconductor และกองทุนที่มี Key Player อยู่ใน Top Holdings ของกองทุน โดยขอยกตัวอย่างกองทุนของ บลจ.กสิกรไทย ที่มี Top10 Holdings ในบริษัทดังกล่าว 3 กองทุน ได้แก่
| กองทุน K-CHANGE-A(A)
| กองทุน K-EUROPE
| กองทุน K-ATECH
|
สไตล์
| Active
| Active
| Active
|
ระดับความเสี่ยงกองทุน
| 6
| 6
| 6
|
นโยบายการจ่ายเงินปันผล
| ไม่มี
| มี
| ไม่มี
|
กองทุนหลัก
| Baillie Gifford Positive Change Fund - Class B accumulation (GBP)
| Allianz Europe Equity Growth, Class AT-EUR
| JPMorgan Pacific Technology - Class C (acc) - USD
|
รายละเอียดเพิ่มเติมกองทุนหลัก
| ลงทุนในหุ้นของบริษัททั่วโลกซึ่งเป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์หรือมีพฤติกรรมที่ส่งผลกระทบเชิงบวก (Positive Impact) ต่อสังคมโดยรวม โดยมีการลงทุนกระจุกตัวประมาณ 25-50 หุ้น
| ลงทุนในหุ้นของบริษัทที่จดทะเบียนในประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปไม่ต่ำกว่า 75% โดยเน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มที่คาดว่ามีอัตราการเจริญเติบโตสูง
| ลงทุนในหุ้นของบริษัทที่ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับเทคโนโลยี สื่อ และการสื่อสาร ไม่น้อยกว่าร้อยละ 70 ซึ่งอาจเน้นในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น
|
สัดส่วนการลงทุนใน บริษัท semiconductor ที่อยู่ใน 10 Top Holding ของกองทุน ณ 30 ก.ย. 64
| - 7.9% ASML
- 6.3% TSMC
| - 8.6% ASML
- 4.7% Infineon Technologies AG
| - 5.5% TSMC
- 5.0% Lasertec Corp - 4.8% Samsung - 3.7% Parade Technologies
|
ดัชนีชี้วัดกองทุน (Benchmark)
| MSCI ACWI Gross Total Return USD Index
| S&P Europe LargeMidCap Growth Net Total Return
| ไม่มี
|
Front End Fee*
| 1.50 %
| 1.50 %
| 1.50 %
|
Back-End Fee*
| ยกเว้น
| ยกเว้น
| ยกเว้น
|
*ข้อมูลค่าธรรมเนียม ณ 31 ต.ค. 64 จากหนังสือชี้ชวนส่วนสรุปข้อมูลสำคัญ (fund fact sheet)
สำหรับใครที่ถือกองทุนดังกล่าวอยู่ หากประเมินว่า Semiconductor เป็นธุรกิจที่มีอนาคตไกล แนะนำให้ถือกองทุนดังกล่าวเพื่อคาดหวังผลตอบแทนจากแนวโน้มดังกล่าว แต่เพื่อเป็นการคุมความเสี่ยงเงินลงทุนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม สำหรับผู้ที่รับความเสี่ยงได้สูง แนะนำให้มีสัดส่วนการลงทุนกองทุนดังกล่าวรวมกับกองทุนหุ้นอื่นๆ แล้ว อยู่ที่ 40%-55%ของเงินลงทุน และผู้ที่รับความเสี่ยงได้ต่ำแนะนำไม่เกิน 10%-20%ของเงินลงทุน ส่วนผู้ที่กำลังสนใจแต่ยังไม่เคยลงทุนกองทุนหุ้นมาก่อนแนะนำเริ่มต้นลงทุนในสัดส่วนที่ไม่เกิน 5%-10%ของเงินลงทุนที่มีก่อน แล้วหากผลตอบแทนเป็นที่น่าพอใจ ค่อยพิจารณาทยอยเพิ่มเงินลงทุนภายหลัง
หากต้องการลงทุนระยะยาวไปกับธุรกิจ Semiconductor พร้อมรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีด้วย แนะนำลงทุนกองทุน K-CHANGE-SSF KCHANGERMF และ KEURMF ที่มีการลงทุนในกองทุนหลักเดียวกับกองทุน K-CHANGE-A(A) และ K-EUROPE ตามลำดับ ตามสิทธิทางภาษีและสัดส่วนตามที่ได้เล่าไป
Disclamer : “ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน”
ขอบคุณข้อมูล KPB Game Changer Semiconductor: EP.2 รหัสลับขับเคลื่อนเทคโนโลยี