K WEALTH / บทความ / Market Update / ตลาดหุ้นเวียดนาม ทำไมน่าลงทุน
10 มกราคม 2565
3 นาที

ตลาดหุ้นเวียดนาม ทำไมน่าลงทุน


          

​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​“ ​

• ปีที่ผ่านมาตลาดหุ้นเวียดนามปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรงมากกว่า 30% โดยคาดว่าปี 2022 จะปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากปัจจัยการย้ายฐานการผลิตจากจีน ไต้หวัน เกาหลีใต้ เข้ามาในเวียดนาม รวมถึงการให้น้ำหนักการลงทุนหุ้นกลุ่ม Value มากขึ้น ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งตลาดหุ้นเวียดนามมีสัดส่วนหลักเป็นหุ้นกลุ่ม Value จึงได้รับประโยชน์โดยตรง

• การระบาดของโควิด-19 ที่อาจทำให้เกิดการล็อกดาวน์ ปิดประเทศ แต่ความกังวลดังกล่าวก็จะถูกบรรเทาได้ ด้วยอัตราการฉีดวัคซีนของเวียดนามยังเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง

​“


          ช่วงหลายปีที่ผ่านมา เราจะได้ยินข่าวนักลงทุนไทยจำนวนมาก เริ่มให้ความสนใจตลาดหุ้นเวียดนาม​มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการกระจายการลงทุนในหุ้นโดยตรง หรือลงทุนผ่านกองทุนรวม แต่ทราบหรือไม่ว่าปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นเวียดนามปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรง จนทำให้นักลงทุนหลายคนเริ่มสงสัยต่อว่าปี 2022 เวียดนามจะมีปัจจัยหนุนให้ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นต่อได้หรือไม่

ปัจจัยสนับสนุนตลาดหุ้นเวียดนาม​​​​

          • เศรษฐกิจอาเซียนเติบโต เวียดนามได้รับประโยชน์ โดยคาดว่าปี 2022 Real GDP Growth ของภูมิภาคอาเซียนจะเติบโต 6.5% ซึ่งสูงที่สุดเมื่อเทียบกับภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก และเป็นการทำจุดสูงสุดในรอบ 10 ปีของอาเซียน รวมทั้งตัวเลขการส่งอออกของอาเซียนจะปรับตัวสูงขึ้น ตามการฟื้นตัวของคู่ค้าสำคัญอย่างจีน โดยประเทศเวียดนามเป็นเบอร์ 2 การส่งออกของอาเซียนรองจากสิงคโปร์ จะได้รับประโยชน์โดยตรงเช่นกัน 

          การย้ายฐานการผลิตมาเวียดนามของโรงงานในจีน ไต้หวัน เกาหลีใต้ จากประเด็นข้อพิพาทสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน ทำให้ปีที่ผ่านมาตัวเลข FDI ที่สะท้อนการลงทุนจากต่างประเทศปรับตัวสูงขึ้นเป็นอันดับ 1 ของอาเซียนที่ระดับ 5.1% โดยหนึ่งในเหตุผลที่เลือกเวียดนาม เป็นเพราะรัฐบาลมีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ประชากรส่วนใหญ่เป็นวัยแรงงาน ค่าแรงอยู่ในระดับต่ำ และค่าเงินของเวียดนามเริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น ช่วยดึงดูดความน่าสนใจลงทุนจากต่างประเทศ 

          • การเข้าร่วม RCEP ซึ่งเป็นข้อตกลงการค้าเสรีที่ใหญ่ที่สุดในโลก ทำให้เวียดนามมีตลาดส่งออกสินค้าได้มากขึ้น และนำเข้าสินค้าได้ในราคาถูกลง เนื่องจากการลดกำแพงภาษีของประเทศกลุ่มสมาชิก โดยคาดว่าการเข้าร่วม RCEP ส่งผลให้ Real GDP ของเวียดนามเติบโตเพิ่มขึ้น 0.5% 

          • คาดการณ์หุ้นกลุ่ม Value จะปรับตัวสูงขึ้น จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก โดยตลาดหุ้นเวียดนามมีสัดส่วนหุ้นกลุ่มอสังหาฯ และการเงินเป็นสัดส่วนหลัก ถือเป็นหุ้นกลุ่ม Value ที่ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโดยตรง นอกจากนี้ตัวเลข Forward P/E ระดับ13.7และEarning Yield Gap ระดับ 5.1% สะท้อนว่าหุ้นเวียดนามยังไม่แพงมากจนเกินไป ยังมีความน่าสนใจ และมีโอกาสเติบโตต่อเนื่องจากตัวเลข EPS Growth ระดับ 24% แม้อาจไม่ได้เติบโตร้อนแรงเท่ากับปีที่ผ่านมา ​​



ปัจจัยกดดันที่ต้องเฝ้าระวัง​​​​

         • โควิด-19 ยังเป็นความกังวลที่กดดันการฟื้นตัวของเศรษฐกิจเวียดนาม ในกรณีที่เกิดการระบาดอย่างหนัก จนทำให้รัฐบาลต้องประกาศล็อกดาวน์ ปิดประเทศ จะกระทบกับธุรกิจ เศรษฐกิจ และตลาดหุ้นโดยตรง 

          • การปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ และการปรับตัวสูงขึ้นของผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่เร็วกว่าคาด อาจส่งผลให้ตลาดหุ้นเวียดนามเกิดความผันผวน ตามตลาดหุ้นเอเชียได้ 

          หากพิจารณาทั้งปัจจัยสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจเวียดนาม รวมทั้งการปรับพอร์ตการลงทุนของโลก ที่เริ่มให้น้ำหนักกับหุ้นกลุ่ม Value มากขึ้น ซึ่งตลาดหุ้นเวียดนามมีสัดส่วนหลักเป็นหุ้น Value ที่ยังไม่แพงมากนัก เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้ตลาดหุ้น มีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อได้ในปีนี้ นอกจากนี้ตลาดหุ้นเวียดนามยังมีโอกาสที่จะยกระดับจากกลุ่ม Frontier Market สู่ Emerging Market ทำให้เม็ดเงินจากต่างประเทศไหลเข้า และดันตลาดตลาดหุ้นเติบโตยิ่งขึ้นในอนาคตได้อีกด้วย แต่ก็ยังมีประเด็นที่ต้องติดตามอย่างการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่อาจสร้างความผันผวนให้ตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย รวมถึงการระบาดของโควิด-19 ที่อาจทำให้เกิดการล็อกดาวน์ ปิดประเทศ แต่ความกังวลดังกล่าวก็จะถูกบรรเทาได้ ด้วยอัตราการฉีดวัคซีนของเวียดนามยังเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง รวมทั้งตลาดมีความคาดหวังต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ที่จะช่วยเพิ่มการใช้จ่าย การบริโภคภายในประเทศ

คำแนะนำสำหรับผู้สนใจลงทุนตลาดหุ้นเวียดนาม​​​​

          หากนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง เราขอแนะนำกองทุน K-VIETNAM เน้นลงทุนหุ้นรายตัว70-80%ของพอร์ตการลงทุน ซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำของเวียดนาม ได้รับประโยชน์จากการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มอสังหาฯ เช่น VINHOMES,VINCOM RETAIL,VINGROUP กลุ่มการเงิน เช่น VIETCOMBANK ส่วนอีก20-30% เป็นการลงทุนในกองทุนประเภท Active และ Passive ที่ลงทุนในประเทศเวียดนาม 

          แต่หากต้องการพักเงินเพื่อรอจังหวะการเข้าซื้อ แนะนำลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ตามระยะเวลาที่ต้องการพักเงิน หรือใช้เงิน เช่น หากต้องการพักเงินในกองทุนตราสารหนี้ 3 เดือนขึ้นไป ขอแนะนำกองทุน K-SFPLUS ทั้งนี้ควรพิจารณาระดับความเสี่ยงของกองทุน และสินทรัพย์การลงทุนให้มีความเหมาะสมกับความเสี่ยงที่นักลงทุนรับได้

ขอขอบคุณข้อมูลจาก 
KS for Fund EP.07: รู้จักเวียดนาม..จุดหมายของการลงทุนธีมเศรษฐกิจเติบโต (26 ธ.ค. 2021) 
มุมมองการลงทุนจาก บลจ.กสิกรไทย (ประจำเดือนมกราคม 2022) ​​​



บทความโดย K WEALTH GURU มนัสวี เด็ดอนันต์กุล
KBank LIVE
 

ติดตามข่าวสารการเงินจาก
K WEALTH ฟรี!

ผลิตภัณฑ์ที่แนะนำ