ภาษีออนไลน์ เรื่องใกล้ตัวที่แม่ค้าออนไลน์ต้องรู้

ขายของออนไลน์เตรียมยื่นภาษีอย่างไรให้ถูกต้อง ตาม กฎหมาย E-payment มาทำความเข้าใจเกณฑ์การยื่นและเตรียมตัวกันเถอะ

• กฎหมาย e-Payment ช่วยกระตุ้นให้ผู้มีรายได้ยื่นภาษีมากขึ้น จากรายงานข้อมูลยอดฝากหรือรับโอนตามเงื่อนไขที่กำหนด โดยไม่ได้นับยอดฝากหรือรับโอนเป็นรายได้


• กฎหมาย e-Service จะกระทบกับผู้ขายของออนไลน์ที่ยังไม่จดฯ VAT ทำให้มีต้นทุนเพิ่มขึ้น 7% หากผู้ประกอบการหรือแพลตฟอร์มต่างประเทศเรียกเก็บ VAT เพิ่มจากค่าบริการ


• การทำบัญชีและเตรียมเอกสารทางการเงิน ไม่เพียงเพื่อเตรียมตัวเรื่องภาษี แต่ยังใช้เตรียมตัวเพื่อขอสินเชื่อธุรกิจเพื่อขยายกิจการได้อีกด้วย


เมื่อช่วงปี 2562 มีการออกกฎหมายภาษี e-Payment หรือ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 48) พ.ศ. 2562 เกี่ยวข้องกับการรายงานของสถาบันการเงินให้แก่กรมสรรพากร ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำให้แม่ค้าออนไลน์ตื่นตัวเรื่องภาษี ล่าสุด มีการออกกฎหมายเรื่องภาษี e-Service หรือ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 53) พ.ศ. 2564 โดยเป็นการเปลี่ยนหน้าที่ จากเดิม ผู้จ่ายค่าบริการเป็นผู้นำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ทุกกรณี เป็น ผู้ประกอบการ e-Service จากต่างประเทศ และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 กันยายน 2564 โดยกฎหมายภาษี 2 เรื่องนี้ มีรายละเอียดอย่างไร และจะกระทบกับใครในธุรกิจออนไลน์บ้าง

รายละเอียดของกฎหมายภาษี e-Payment และ e-Service มีอะไรบ้าง


สำหรับกฎหมายภาษี e-Payment เริ่มมีผลบังคับใช้มาตั้งแต่วันที่ 21 มีนาคม 2562 แล้ว โดยกำหนดให้สถาบันการเงินหรือผู้ให้บริการด้านการเงินอื่นๆ เช่น e-Wallet รายงานธุรกรรมที่เข้าเงื่อนไขให้กรมสรรพากรทราบ โดยเข้าข่ายกรณีใดกรณีหนึ่ง ในแต่ละปีปฏิทิน นับทุกบัญชีใน 1 สถาบันการเงิน ดังนี้
- ยอดฝากหรือรับโอนตั้งแต่ 3,000 ครั้ง หรือ
- ยอดฝากหรือรับโอนตั้งแต่ 400 ครั้ง และมียอดรวมตั้งแต่ 2 ล้านบาทขึ้นไป
อย่างไรก็ตาม ยอดฝากหรือรับโอน ไม่ได้นับเป็นรายได้เพื่อเสียภาษี เป็นเพียงเงื่อนไขในการส่งข้อมูล เท่านั้น

ล่าสุดมีกฎหมายเกี่ยวกับภาษี e-Service ให้เปลี่ยนผู้มีหน้าที่นำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม คือ ผู้ประกอบการหรือแพลตฟอร์มต่างประเทศที่มีรายรับจากการให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์แก่ผู้ใช้บริการที่ไม่ได้จด VAT ในไทย มีหน้าที่นำส่งภาษีแทน แล้วใครกันที่เข้าข่ายผู้ประกอบการหรือแพลตฟอร์มต่างประเทศ ซึ่งมีอยู่ 5 ลักษณะ
1. ธุรกิจให้บริการแพลตฟอร์มสำหรับขายของออนไลน์ เช่น Amazon, Alibaba
2. ธุรกิจให้บริการพื้นที่โฆษณาบนเว็บไซต์ หรือสื่อสังคมออนไลน์ เช่น Facebook, Google
3. ธุรกิจให้บริการจองโรงแรมที่พักและการเดินทาง เช่น Agoda, Booking, Airbnb
4. ธุรกิจให้บริการเป็นตัวกลางระหว่างผู้ซื้อ-ผู้ขาย เช่น บริการเรียกรถรับ-ส่ง, ขนส่ง
5. ธุรกิจให้บริการสมาชิกดูหนัง-ฟังเพลงออนไลน์ เล่นเกม และแอปพลิเคชันต่าง ๆ เช่น Netflix, Disney, Youtube, IQIYI, Spotify, App Store, Play Store, Zoom, Slack

แล้วกฎหมายทั้ง 2 ฉบับกระทบกับใคร


หลายคนมองว่ากฎหมาย e-Payment จะส่งผลให้ผู้มีรายได้ผ่านบัญชีธนาคารหรือผู้ให้บริการด้านการเงินอื่นๆ เช่น e-Wallet ต่างๆ เสียภาษีเพิ่มขึ้น แต่ในความเป็นจริง เป็นเพียงการส่งข้อมูลชื่อเจ้าของบัญชี เลขประจำตัวประชาชน จำนวนครั้งที่ฝากหรือรับโอน (ยอดรวม) และจำนวนเงินที่ฝากหรือรับโอน (ยอดรวม) ซึ่งยังไม่ถือเป็นรายได้ และนำไปวิเคราะห์กับข้อมูลด้านอื่นๆ อีก เพื่อพิสูจน์การมีรายได้ ดังนั้น หากเดิมผู้มีรายได้ยื่นภาษีถูกต้องอยู่แล้ว กฎหมายฉบับนี้จะไม่มีผลกระทบใดๆ เลย แต่หากเป็นผู้เลี่ยงการเสียภาษี ทั้งๆ ที่รู้ว่าต้องยื่นภาษี แต่ไม่ยื่น กฎหมายฉบับนี้จะเป็นเครื่องมือให้กรมสรรพากรตรวจสอบข้อมูลได้ง่ายขึ้น ถ้าไม่มีกฎหมายฉบับนี้ กรมสรรพากรก็ยังมีเครื่องมืออื่นๆ ในการช่วยตรวจสอบข้อมูลได้เช่นกัน

ส่วนกฎหมาย e-Service ผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรง คือ ผู้ขายของออนไลน์ที่ยังไม่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เพราะจะถูกเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากผู้ประกอบการหรือแพลตฟอร์มต่างประเทศ ทำให้ต้นทุนของผู้ขายของออนไลน์เพิ่มขึ้น ในขณะที่ผู้ขายของออนไลน์ที่จดฯ VAT แล้ว จะนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม (ซึ่งเป็นภาษีขาย) ให้กับสรรพากรและหักลบกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ซึ่งเป็นภาษีซื้อ) ได้ ทำให้ได้รับผลกระทบน้อยกว่า ดังนั้น หากผู้ขายของออนไลน์ที่มีรายได้ใกล้เคียง 1.8 ล้านบาท (เฉลี่ยเดือนละ 150,000 บาท) จะอยากเข้าระบบภาษี VAT เพิ่มขึ้น

ขายของออนไลน์อยู่แล้ว เตรียมตัวอย่างไรบ้าง


เมื่อรู้ตัวว่าต้องยื่นภาษีเงินได้ (แบบ ภ.ง.ด.) สิ่งที่ต้องเตรียมตัว ได้แก่
1.ต้องรู้ว่ายื่นภาษีเมื่อไหร่
สำหรับผู้ที่ขายของออนไลน์ทั่วไป จะทำธุรกิจในนามบุคคลธรรมดา ซึ่งเป็นรายได้ประเภท 40(8) ที่ได้รับในช่วงวันที่ 1 มกราคม-31 ธันวาคม ในแต่ละปี จะต้องยื่นภาษี 2 ครั้ง แบ่งเป็น (1) ช่วงเดือน ก.ค.-ก.ย. ของแต่ละปี ใช้แบบ ภ.ง.ด. 94 เพื่อยื่นรายได้ครึ่งปี (ม.ค.-มิ.ย.) (เฉพาะรายได้ 40(5)-(8)) (2) ช่วงเดือน ม.ค.-มี.ค. ของปีถัดมา ใช้แบบ ภ.ง.ด. 90 เพื่อยื่นรายได้ทั้งปี (ม.ค.-ธ.ค.) ยกตัวอย่าง ขายของออนไลน์ มีรายได้ทั้งปี 1 ล้านบาท (รายได้ตาม ม.40(8)) หักค่าใช้จ่ายแบบเหมา 60% ทำให้มีรายได้สุทธิ 400,000 บาท จะเสียภาษีทั้งปี 17,500 บาท ซึ่งประเมินภาษีแบบเต็มที่ ยังไม่คำนึงถึงตัวช่วยในการลดหย่อนภาษีเพิ่มเติม เช่น กองทุนลดหย่อนภาษี (SSF, RMF) ประกันชีวิตที่มีความคุ้มครองตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป และประกันแบบบำนาญ ที่จะช่วยให้เสียภาษีลดลงได้อีก

2. จัดเก็บเอกสารการค้าและธุรกรรมทางการเงินที่เกี่ยวข้อง
เพราะการนำรายได้จากขายของออนไลน์ไปยื่นภาษี สามารถเลือกได้ระหว่าง (1) หักค่าใช้จ่าย แบบเหมา 60% โดยไม่ต้องแสดงเอกสารหลักฐาน กับ (2) หักค่าใช้จ่าย แบบตามจริง โดยต้องเตรียมเอกสารค่าใช้จ่ายหรือต้นทุนในการขายของออนไลน์นั้นๆ ดังนั้น หากค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงสูงกว่า 60% ของรายได้ และมีหลักฐานประกอบ ก็สามารถรวบรวมเอกสารดังกล่าวเพื่อใช้สิทธิหักค่าใช้จ่ายแบบตามจริงตอนยื่นภาษีได้

3. จัดทำบัญชีรายรับ-รายจ่ายให้ชัดเจน
เพื่อแยกบัญชีกิจการกับบัญชีส่วนตัว และจดรายรับ-รายจ่ายที่เป็นเงินสด ซึ่งไม่มีหลักฐานการเงิน หากทำบัญชีในรูปแบบสมุด ทำได้แต่ต้องใช้ความพยายาม อีกทางเลือกคือ ทำบัญชีผ่านบัญชีธนาคารแยกตามวัตถุประสงค์ได้ เช่น บัญชีธุรกิจกับบัญชีส่วนตัว บัญชีหมุนเวียนเป็นรายรับ-รายจ่ายของกิจการ จะช่วยทำให้แสดงหลักฐานรายรับรายจ่ายของกิจการได้ง่าย และชัดเจนขึ้น

4. เตรียมตัวทำธุรกิจในนามนิติบุคคล
หากมีรายได้จากการขายของออนไลน์ ตั้งแต่ 1.8 ล้านบาทขึ้นไป (เฉลี่ยเดือนละ 150,000 บาท) ต้องจดฯ VAT และนำส่งภาษี VAT ประจำทุกเดือน โดยต้องยื่นภาษีเงินได้ ทำบัญชี และเก็บเอกสารทางการเงินต่างๆ ซึ่งการใช้บริการสำนักงานบัญชีหรือจ้างคนทำบัญชี ถือเป็นตัวช่วย โดยให้เทียบความคุ้มค่าจากบริการที่ได้รับ กับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น ดังนั้น การเตรียมทำธุรกิจในนามนิติบุคคล เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง เพราะนอกจากคุมอัตราภาษีเงินได้ที่ 20% ซึ่งถูกกว่า ในนามบุคคลธรรมดาที่ฐานภาษีสูงสุด 35% แล้ว ยังมีการทำบัญชีและจัดเก็บเอกสารอย่างเป็นระบบมากขึ้น

Tips สำหรับผู้ประกอบการ


การจัดทำบัญชีรายรับ-รายจ่ายของกิจการ และการจัดเก็บเอกสารการค้าหรือธุรกรรมทางการเงินต่างๆ นอกจากจะช่วยให้การวางแผนและยื่นภาษีทำได้สะดวกยิ่งขึ้นแล้ว ยังช่วยเตรียมพร้อมสำหรับการขยายกิจการจากการขอสินเชื่อต่างๆ สำหรับธุรกิจขายของออนไลน์ จะมีสินเชื่อธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นวงเงินเบิกเกินบัญชี (OD) หรือวงเงินกู้ระยะยาวเพื่อลงทุน สำหรับผู้ที่เริ่มต้นทำธุรกิจ สินเชื่อที่ไม่มีหลักประกัน เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ไม่ว่าเป็นเงินทุนหมุนเวียน ได้แก่ บัตรเงินด่วน Xpress Cash หรือ เงินก้อนเพื่อลงทุน และผ่อนชำระระยะยาว (12-60 เดือน) ได้แก่ สินเชื่อเงินด่วน Xpress Loan เป็นต้น