เรื่องต้องรู้ ก่อนลงทุนในหุ้นอินเดีย

ช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นอินเดีย ได้รับความสนใจมากขึ้น เนื่องจากผลตอบแทนในตลาดหุ้นอินเดียที่ดีกว่าเทียบกับตลาดหุ้นอื่นๆ และจำนวนประชากรที่มีเป็นลำดับ 2 ของโลก รองจาก จีน ทำให้มีโอกาสเป็นผู้บริโภคของโลก แทน จีน ที่แผ่วลงจากภาคอสังหาริมทรัพย์ แล้วควรต้อ

• ตลาดหุ้นอินเดีย มี 2 ตลาดหลัก คือ NSE กับ BSE และ ดัชนีใช้วิธี Free Float Weighted Index คำนวณมูลค่าตลาดถ่วงน้ำหนักด้วย Free Float ที่สะท้อนสภาพคล่อง โดย NSE ถือเป็นตลาดที่ใหญ่เป็นลำดับ 6 ของโลก


• GDP ของอินเดีย โตในระดับสูง (เฉลี่ย 5 ปีย้อนหลัง 5.11%) และปัจจัยโครงสร้างประชากรและวัยแรงงานจำนวนมาก ทำให้การเติบโตมาจากการบริโภคภายในประเทศเป็นหลัก ประกอบกับปัจจัยการเมืองที่มีความต่อเนื่อง โดย นายโมดี ได้กลับมาเป็นนายกฯสมัยที่ 3 ทำให้มีความต่อเนื่องเรื่องนโยบาย



• K WEALTH มีมุมมองการลงทุนเป็นกลางในตลาดหุ้นอินเดีย เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานดีในระยะยาว แต่มีราคา P/E ที่ค่อนข้างสูงอยู่ระดับเกือบ 20 เท่า โดยช่องทางในการลงทุน มีทั้งการลงทุนในหุ้นต่างประเทศโดยตรง ลงทุนในกองทุนหลักต่างประเทศผ่านบัญชีหุ้นต่างประเทศ และ ลงทุนในกองทุนรวมหุ้นต่างประเทศ อย่าง K-INDIA-A(D)



หลายปีที่ผ่านมา ผลตอบแทนจากการลงทุนหุ้นในกลุ่มประเทศเกิดใหม่ ที่มีให้ผลตอบแทนในระดับ 2 หลัก คงหนีไม่พ้นตลาดหุ้นอินเดีย นำโดยดัชนี Nifty 50 ให้ผลตอบแทนรวม 21.3% ในปี 2566 ประกอบกับมูลค่าตลาดหุ้นที่ติดอันดับ 6 ของโลก มีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 4.65 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ1 (ข้อมูล ณ วันที่ 31 มี.ค 67) มีอะไรที่น่าสนใจ หรือ ต้องรู้ก่อนเริ่มต้นลงทุนในตลาดอินเดีย กันบ้าง ลองติดตามบทความนี้
Indian-stock-market.jpg


1.ทำความเข้าใจตลาดหุ้นอินเดีย

ตลาดหุ้นอินเดีย แบ่งเป็น 2 ตลาดใหญ่ ได้แก่


1.ตลาดหุ้น National Stock Exchange of India (NSE) ตั้งอยู่ที่เมืองมุมไบ ปัจจุบันมีจำนวนบริษัทจดทะเบียน ประมาณ 2,4002บริษัท (ข้อมูล ณ 31 มี.ค. 67) ซึ่งเป็นตลาดมูลค่าตลาดหลักทรัพย์อินเดีย ติดอันดับ 6 ของโลก




ที่มา : 1Statista : https://www.statista.com/statistics/270126/largest-stock-exchange-operators-by-market-capitalization-of-listed-companies/

2NSE


2.ตลาดหุ้น Bombay Stock Exchange (BSE) ตั้งอยู่ที่เมืองบอมเบย์ ปัจจุบันมีจำนวนบริษัทจดทะเบียน ประมาณ 5,4003 บริษัท (ข้อมูล 5 ก.ค. 67)


ดัชนีหลักที่ใช้คู่กับตลาดหลักทรัพย์ จะมี 2 ดัชนี ซึ่งจะใช้ทั้งมูลค่าตลาดและถ่วงน้ำหนักด้วย Free Float เป็นการคำนวณดัชนีแบบ Free Float Weighted Index ซึ่งจะมีการแบ่งการคำนวณตามดัชนีตามมูลค่าตลาด (Mkt Cap) ตามกลุ่มอุตสาหกรรม (Sector) ตาม Theme การลงทุน (Thematic) และ ตามกลยุทธ์การลงทุน (Strategy) ได้แก่


1. ดัชนี Nifty จะใช้เป็นดัชนีของตลาด NSEเช่น ดัชนี Nifty 50 เป็นดัชนีบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่และมีสภาพคล่อง 50 บริษัท หรือ Nifty BANK เป็นดัชนีบริษัทจดทะเบียนกลุ่มธนาคาร เป็นต้น


2. ดัชนี Sensex จะใช้เป็นดัชนีของตลาด BSE เช่น BSE Sensex 50 เป็นดัชนีบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่และมีสภาพคล่อง 50 บริษัท หรือ BSE Energy เป็นดัชนีบริษัทจดทะเบียนกลุ่มพลังงาน เป็นต้น


นอกจากนี้ บลจ. Goldman Sach ยังคาดการณ์อัตราการเติบโตของผลการดำเนินงานของบริษัทในอินเดีย เฉลี่ย 10 ปี (2021-2030) อยู่ที่ 11.5%4 ซึ่งทำให้ตลาดหุ้นอินเดียมีความน่าสนใจในระยะยาว


ที่มา : 3BSE : https://www.bseindia.com/markets/equity/EQReports/allindiamktcap.aspx

4GSAM ณ 31 มี.ค.67


5 กลุ่มอุตสาหกรรมนำตลาดหุ้นอินเดีย

เทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology) : อินเดียเป็นศูนย์กลางการพัฒนาซอฟต์แวร์และบริการ IT ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ตัวอย่างบริษัท เช่น TCS, Infosys, และ Wipro มีบทบาทสำคัญในเศรษฐกิจ


การเงิน (Financial Services) : ภาคบริการทางการเงินและธนาคารเป็นอีกกลุ่มอุตสาหกรรมที่เติบโตอย่างรวดเร็ว เช่น HDFC Bank, ICICI Bank และ Kotak Mahindra Bank


พลังงาน (Energy): การพัฒนาพลังงานหมุนเวียนและโครงสร้างพื้นฐานพลังงานเป็นจุดสำคัญ บริษัทเช่น Reliance Industries และ ONGC เป็นผู้นำในภาคนี้


สินค้าอุปโภคบริโภค (Consumer Goods) : ภาคสินค้าอุปโภคบริโภคเป็นที่นิยมมากเนื่องจากการเติบโตของชนชั้นกลางและการเพิ่มขึ้นของการบริโภคภายในประเทศ เช่น Hindustan Unilever และ ITC


• ยาและสุขภาพ (Pharmaceuticals and Healthcare): อินเดียเป็นผู้ผลิตยาราคาประหยัดและบริการสุขภาพขนาดใหญ่ เช่น Sun Pharma และ Dr. Reddy''s Laboratories



2.มีอะไรน่าสนใจในตลาดอินเดีย
whats-interesting-in-the-Indian-market.jpg

อัตราเติบโตทางเศรษฐกิจดี ในปีที่แล้ว 2023 มี GDP เติบโตสูงสุดในทวีปเอเชีย อยู่ที่ 6.8%5 และมีค่าเฉลี่ยตลอด 5 ปีหลังสุด อยู่ที่ 5.11%5 แสดงให้เห็นว่าอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในระดับสูงและต่อเนื่อง มีเพียงปี 2019 ที่ติดลบจากสถานการณ์โควิด-19


คาดการณ์อัตราเติบโตมาจากการบริโภคภายในประเทศ จำนวนประชากรแซงจีนขึ้นมาเป็นอันดับ 1 ของโลก ในปี 20236 รองจากจีน โดยมีสัดส่วนวัยทำงาน 2 ใน 3 ของประชากรทั้งประเทศ อายุมัธยฐาน (อายุที่แบ่งจำนวนประชากรออกเป็น 2 กลุ่มเท่าๆกัน) ที่ 28 ปี4 (อายุมัธยฐานของจีน คือ 38 ปี) ช่วยสนับสนุนการบริโภคภายในประเทศและเศรษฐกิจ ทั้งภาคบริการและการผลิต


นโยบายของรัฐบาลเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี โมดี จะเน้นโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศเพื่อกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ เช่น ถนน ทางรถไฟ และพลังงาน


การพัฒนาด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม อินเดียเป็นผู้นำในด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการบริการด้าน IT รวมถึงการเพิ่มขึ้นของสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีในอินเดีย โดยมีบริษัทชั้นนำอย่าง TCS (มีคู่แข่งอย่าง IBM) และ Infosys


ที่มา : 5Global Finance : https://gfmag.com/data/countries-highest-gdp-growth/

6The Standard Wealth https://thestandard.co/india-will-be-the-most-populous-country/



เหตุการณ์สำคัญในประเทศอินเดียล่าสุด

ไตรมาส 1 ปี 67 หลังจากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่อไปในทิศทางควบคุมอัตราเงินเฟ้อ และเศรษฐกิจเติบโตในอัตราที่ลดลง ทำให้คาดการณ์จะมีการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ในช่วงต้นปี 67 อยู่ที่ 3 ครั้ง ส่งผลให้เป็นบวกกับตลาดหุ้นทั่วโลก เนื่องจากต้นทุนทางการเงินลดลง


ครึ่งแรกของเดือน เม.ย. 67 มีการโจมตีระหว่างอิสราเอล และอิหร่าน ทำให้เกิดความตึงเครียดในแถบตะวันออกกลาง ส่งผลต่อตลาดหุ้นทั่วโลก หวั่นจะเกิดสงคราม แต่ความกังวลเพียงระยะสั้นๆ


18 เม.ย. -1 มิ.ย. 67 ผลการเลือกตั้งอินเดีย พรรคภารติยะ ชนะตะ (BJP) ของนายโมดี ได้รับชัยชนะ แต่ได้รับที่นั่งในสภาน้อยลง ส่งผลให้จัดตั้งรัฐบาลผสม แต่ยังคงนโยบายเหมือนเดิม คือ ส่งเสริมการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนน รางรถไฟ ทำให้มีเม็ดเงินงบประมาณของภาครัฐลงไปยังการก่อสร้างโครงการของรัฐ


ปลายเดือน มิ.ย. 67 พันธบัตรรัฐบาลอินเดีย จะถูกรวมในดัชนีพันธบัตรรัฐบาลสกุลท้องถิ่นของ JP Morgan (GBI-EM) ตั้งแต่วันที่ 28 มิ.ย. 67 - มี.ค. 68 ทำให้คาดว่าจะดึงดูดเงินลงทุนสู่อินเดียได้ 2-3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2568 นอกจากนี้ ยังมีเงินลงทุนต่างชาติไหลเข้าตลาดหุ้นอินเดีย เนื่องจากคลายความกังวลจากการจัดตั้งรัฐบาลของนายโมดี ที่ทำให้มีเงินลงทุนไหลเข้าตลาดหุ้นอินเดีย เป็นเวลา 10 วันต่อเนื่อง ประมาณ 3.4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ


ช่องทางการลงทุนในหุ้นอินเดีย

1. ลงทุนผ่านหุ้นต่างประเทศโดยตรง ข้อดี คือ เลือกหุ้นที่มีโอกาสได้โดยตรง ข้อระวัง คือ ต้องมีเวลาติดตามและอาจมีภาระภาษีจากผลตอบแทนที่นำกลับมาประเทศไทย รวมถึงความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน


2. ลงทุนผ่านกองทุนหลักในต่างประเทศ ด้วยบัญชีหุ้นต่างประเทศ ข้อดี คือ มีมืออาชีพช่วยเลือกหุ้นที่ลงทุน ข้อระวัง คือ อาจมีภาระภาษีจากผลตอบแทนที่นำกลับมาประเทศไทย และความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน


3.ลงทุนผ่านกองทุนรวมหุ้นอินเดีย ที่จัดตั้งในประเทศไทย ข้อดี คือ มีมืออาชีพช่วยเลือกหุ้นผ่านกองทุนหลักและไม่มีภาระภาษีจากผลตอบแทนจากการลงทุนในต่างประเทศ ข้อระวัง คือ ควรทำความเข้าใจกองทุนหลักก่อนตัดสินใจลงทุน


คำแนะนำ K WEALTH มีมุมมองเป็นกลาง ที่ถึงแม้จะมีแนวโน้มที่ดีในระยะยาว แต่ราคาตลาดที่ยังอยู่ในระดับสูง ทำให้ต้องระมัดระวังสำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนเพิ่ม หากผู้ลงทุนถืออยู่แล้วสามารถถือลงทุนต่อได้ สำหรับผู้ที่สนใจลงทุนกองทุนในตลาดอินเดีย สามารถศึกษาข้อมูลกอง K-INDIA-A(D) เพิ่มเติมได้



คำเตือน


ผู้เขียน

K WEALTH Trainer สุนิติ ถนัดวณิชย์ CFP®
Back to top