ทำไมถึงเวลาต้องเพิ่ม K-GHEALTH ในพอร์ต

กองทุนกลุ่ม Healthcare มีความน่าสนใจในช่วงตลาดอัตราดอกเบี้ยเลยจุดสูงสุดมาแล้ว แล้วทำไมต้องเป็น K-GHEALTH บทความนี้สรุปมาให้

• ปีนี้มีแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาลง ช่วงที่ผ่านมาหลายตลาดหุ้นมีความร้อนแรง ควรเลือกลงทุนหุ้นดี ราคายังปรับตัวขึ้นไม่มาก นั่นคือ กองทุนหุ้นกลุ่ม Healthcare


• กองทุน K-GHEALTH เป็นกองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นกลุ่ม Healthcare ทั้งหุ้นเติบโต (Growth) และหุ้นกลุ่มปัจจัยพื้นฐานต่อการบริโภค (Defensive) ที่ผันผวนตามเศรษฐกิจโลกน้อย




ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยนโยบายของประเทศต่างๆ อยู่ในระดับเลยจุดสูงสุดมาแล้ว แปลว่า ตลาดหุ้นมีโอกาสกลับมาน่าสนใจ บางตลาดก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่น ตลาดหุ้นสหรัฐฯ และญี่ปุ่น ที่ทำสถิติสูงสุด (All Time High) แล้วจะมีหุ้นกลุ่มไหนที่น่าสนใจแต่ราคายังไม่ปรับตัวขึ้นอีก วันนี้ KWEALTH จะสรุปมาให้



คนชอบลงทุนหุ้นสหรัฐฯ อยากหาของถูกมาทางนี้

สำหรับหุ้นสหรัฐฯ ที่ดัชนีหลัก ไม่ว่าจะเป็น Dow Jones, Nasdaq, S&P500 Index ต่างปรับตัวในระดับสูงสุดตั้งแต่จัดตั้งดัชนีมา แต่ยังมีหุ้นบางกลุ่มที่ราคายังไม่วิ่งตามดัชนีดังกล่าว นั่นคือ หุ้นกลุ่ม Healthcare จะเห็นได้จากกราฟ



กราฟนี้แสดงให้เห็นว่า ดัชนี MSCI World เป็นตัวแทนของหุ้นทั่วโลก ซึ่งในดัชนีมีหุ้นสหรัฐฯอยู่ด้วย ไม่น้อยกว่า 50% ทำผลตอบแทนได้ดีกว่า ดัชนี MSCI World Healthcare (ดัชนีตัวแทนหุ้นกลุ่ม Healthcare) แสดงว่า ภายใต้หุ้นทั่วโลกเหมือนกัน หุ้นทั่วโลกกลุ่ม Healthcare ยังขึ้นไม่มากเท่าหุ้นกลุ่มอื่นๆ อย่างไรก็ตาม อาจเป็นโอกาสสำหรับผู้ที่ได้กำไรจากหุ้นที่ปรับตัวขึ้นมาสูง เช่น หุ้นญี่ปุ่น และหุ้นเวียดนาม ให้ลดสัดส่วนลงเพื่อมาลงทุนในหุ้นกลุ่ม Healthcare เพื่อลดความเสี่ยงก็ได้



หุ้นกลุ่ม Healthcare นอกจากราคาถูก ยังมีอะไรที่น่าสนใจ

ปัจจัยที่ทำให้หุ้นกลุ่ม Healthcare มีความน่าสนใจขึ้นไปอีก คือ 1.ธุรกิจ Healthcare มีความน่าสนใจ ดูได้จากแนวโน้มประชากรของประเทศต่างๆในโลก เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุมากขึ้น (ประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป สัดส่วนมากกว่า 10%) นำไปสู่ค่ารักษาพยาบาลที่ปรับตัวสูงขึ้น 2.คาดการณ์ว่าหุ้นกลุ่ม Healthcare จะมีผลประกอบการที่ดีกว่าในอดีต และดีกว่าหุ้นสหรัฐฯ




จาก Bloomberg Consensus แสดงให้เห็นถึงผลประกอบการของหุ้นทั่วโลกในกลุ่ม Healthcare ที่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น ตัวอย่างบริษัทยาที่มีแนวโน้มผลประกอบการที่ดี เช่น ยา GLP1 ที่เป็นยารักษาเบาหวาน ยังใช้เป็นยาลดความอ้วนได้ด้วย หรือ Dexcom ที่นอกจากจะเป็นยารักษาให้หายป่วย ยังเป็นยาที่ป้องกันการเจ็บป่วย (Preventive) อีกด้วย




ในขณะเดียวกัน หากเปรียบเทียบผลตอบแทนในระยะยาว (16 ปีย้อนหลัง) ผลตอบแทนหุ้นกลุ่ม Healthcare ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าผลตอบแทนหุ้นสหรัฐฯ อย่าง S&P500 นอกจากนี้ ในช่วงที่ FED ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง ปี 2007-2008 ทำให้หุ้นกลุ่ม Biotech ผลการดำเนินงานดีกว่า หุ้นดัชนี S&P500



ทำไมต้องเป็นกองทุน K-GHEALTH

ลงทุนกองทุนหลักจาก JPMorgan Funds- Global Healthcare Fund-Class A (acc) USD ซึ่งปัจจุบันทาง บลจ.กสิกรไทย ได้ผนึกกำลังกับ JPMAM เป็น Partner ในการบริหารกองทุน เมื่อเข้าไปดูรายละเอียดของกองทุนหลัก จะพบว่า มีการกระจายตัวในหุ้น 2 สไตล์ คือ สไตล์ Growth เน้นหุ้นเติบโตสูง เช่น หุ้นในกลุ่ม Biotech และ Medtech และสไตล์ Defensive เน้นหุ้นปัจจัยพื้นฐานราคาผันแปรตามเศรษฐกิจโลกน้อย โดยคาดการณ์ผลตอบแทนของหุ้นกลุ่ม Biotech จะเติบโตได้ดีในช่วงอัตราดอกเบี้ยขาลง โดยปัจจุบันผลการดำเนินงานในอดีตที่กองทุน K-GHEALTH ยังทำผลการดำเนินงานได้ไม่ดี ประกอบกับหุ้นกลุ่ม Biotech ยังมีราคาไม่ปรับตัวขึ้นมา (Underperform)


สำหรับนักลงทุนที่ให้ความสำคัญกับผลตอบแทนจากการลงทุนอย่างเดียว เลือกลงทุนใน K-GHEALTH ที่มีนโยบายป้องกันอัตราแลกเปลี่ยน (Hedge ค่าเงิน) ส่วนนักลงทุนที่ต้องการเก็งกำไรค่าเงินด้วย เลือกนโยบายไม่ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (Unhedge ค่าเงิน)ก็ได้


จากสถานการณ์ปัจจุบัน จะเห็นว่าหุ้นกลุ่ม Healthcare มีแนวโน้มที่ดีกว่าในระยะยาว แต่ราคาตลาดสะท้อนผลการดำเนินงานในช่วง 1-2 ปีหลังสุดไปแล้ว ทำให้ราคาค่อนข้างถูกเทียบกับหุ้นสหรัฐฯด้วยกันเอง ดูได้จากผลการดำเนินงานย้อนหลังที่ผ่านมา (ข้อมูล ณ 29 ก.พ. 67) กองทุน K-GHEALTH แบบ Hedge ค่าเงิน ย้อนหลัง 1 ปี ได้ผลตอบแทน 6.57% ต่อปี ย้อนหลัง 5 ปี ได้ผลตอบแทน 6.50% ต่อปี และย้อนหลังตั้งแต่จัดตั้งกองทุน ได้ผลตอบแทนที่ 4.89% ต่อปี



คำแนะนำ

- สำหรับผู้ที่มีกองทุน K-GHEALTH หากยังมีไม่เกิน 30% ของพอร์ต แนะนำให้ทยอยซื้อเพิ่ม แต่หากมีเกิน 30% ของพอร์ตแล้ว แนะนำถือต่อไป

- ส่วนนักลงทุนใหม่ แนะนำให้ซื้อเพิ่มได้ หรือ จะแนะนำให้ทยอยขายกองทุนหุ้นที่ปรับตัวขึ้นแรงในช่วง 1-2 เดือนนี้ เช่น หุ้นญี่ปุ่น หรือ หุ้นเวียดนาม มาลงทุนในกองทุน K-GHEALTH เพื่อลดความเสี่ยง และเพิ่มโอกาสเติบโตจากราคาตลาดที่ยังไม่เคลื่อนไหวมากนัก


*ขอขอบคุณข้อมูล จาก Bloomberg

คำเตือน : ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน ผลการดำเนินงานในอดีตไม่ได้เป็นสิ่งยืนยันผลตอบแทนในอนาคต

คำเตือน


ผู้เขียน

K WEALTH Trainer สุนิติ ถนัดวณิชย์ CFP®
Back to top