เงินเฟ้อ หรือ Inflation เป็นคำศัพท์ที่เมื่อฟังข่าวเศรษฐกิจ ข่าวการลงทุน หรือฟังนักวิเคราะห์การลงทุนเล่า ก็เป็นคำยอดฮิตที่มักถูกพูดถึง เข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง วันนี้ KWEALTH มาอธิบายให้หมดเปลือกเกี่ยวกับคำว่า “เงินเฟ้อ” แล้วสถานการณ์เงินเฟ้อ ณ ขณะนี้ ควรที่จะลงทุนอย่างไร
เงินเฟ้อคืออะไร
ถ้าพูดภาษาชาวบ้าน เงินเฟ้อคือการดูว่าราคาสินค้าและบริการโดยเฉลี่ย ปรับเพิ่มขึ้น แพงกว่าเดิม มากน้อยแค่ไหน เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยกลุ่มสินค้าและบริการที่ถูกนำมาคำนวณเงินเฟ้อของไทย ก็จะเป็นสินค้าและบริการที่เราใช้จ่ายอยู่เป็นประจำ เช่น กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม (ไม่รวมแอลกอฮอล์) น้ำหนักในการคำนวณเงินเฟ้ออยู่ที่ 42% ค่าเดินทาง 23% ค่าที่อยู่อาศัย 22% ความบันเทิง และการศึกษา 4% อื่นๆ อีก 9% แล้วจึงคำนวณออกมาเป็นตัวเลขเงินเฟ้อ
สาเหตุของเงินเฟ้อ
ปัจจัยที่ทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ หรือแปลง่ายๆว่าสินค้าและบริการแพงขึ้นนั้น สาเหตุที่ทำให้สินค้าแพงขึ้นแบ่งออกเป็น 2 ปัจจัย ได้แก่
1.ต้นทุนการผลิตสินค้าเพิ่มสูงขึ้น (Cost Push Inflation) คือภาวะที่เงินเฟ้อเกิดจากฝั่งผู้ผลิต ราคาวัตถุดิบ หรือต้นทุนการผลิตของผู้ผลิตสินค้าแพงขึ้น เช่น น้ำมันแพงทำให้ต้นทุนการผลิต การขนส่งสูงขึ้น ผู้ผลิตจึงเพิ่มราคาขายสินค้า ทำให้ราคาขายสินค้าแพงขึ้น เงินเฟ้อก็เพิ่มสูงขึ้นตาม
2.ความต้องการสินค้าสูงขึ้น (Demand Pull Inflation) คือภาวะที่เงินเฟ้อเกิดจากฝั่งผู้บริโภค ความต้องการซื้อสูง หรือต้องการซื้อจนทำให้สินค้าไม่เพียงพอต่อความต้องการ ราคาสินค้าจึงสูงขึ้น ตัวอย่างเช่น ช่วงเกิด Covid-19 หน้ากากอนามัยขาดแคลน ผลิตไม่ทัน เพราะความต้องการซื้อสูง ราคาหน้ากากอนามัยช่วงนั้นก็ปรับตัวขึ้นสูงตาม เป็นต้น
ผลกระทบเงินเฟ้อ
1.มุมผู้บริโภค เงินเฟ้อทำให้เราต้องจ่ายเงินซื้อสินค้าและบริการ ในราคาที่แพงขึ้น เช่น ก๋วยเตี๋ยว 15 ปีที่แล้วชามละ 20 บาท วันนี้ก๋วยเตี๋ยวชามละ 50 บาท
2.มุมผู้ผลิต จะได้รับผลกระทบจากกำไรที่ลดลง เพราะราคาต้นทุนวัตถุดิบเพิ่มสูงขึ้น และถ้าเป็นธุรกิจที่ขึ้นราคาสินค้าได้ยาก ก็จะยิ่งกระทบกำไรบริษัท ทำให้ช่วงเกิดเงินเฟ้อสูง นักลงทุนไม่ค่อยชอบ ตลาดหุ้นจึงปรับตัวขึ้นได้ยาก
เงินเฟ้อไม่ได้แย่เสมอไป
หากใครติดตามข่าวเศรษฐกิจในช่วงนี้น่าจะเคยได้ยินคำว่า “กรอบเงินเฟ้อเป้าหมาย” ซึ่งเป็นเป้าที่หลายประเทศ ตั้งใจจะลดเงินเฟ้อที่อยู่ระดับสูงก่อนหน้านี้ลงมาอยู่ระดับอ่อนๆ เช่น สหรัฐฯ ตั้งเป้าหมายเงินเฟ้อให้ลงมาอยู่ที่ 2% ไทยตั้งกรอบเงินเฟ้อเป้าหมายที่ 1-3% เพราะการเกิดเงินเฟ้อแบบอ่อนๆ เป็นผลบวกต่อเศรษฐกิจ
ความต้องการสินค้าเพิ่มขึ้น สินค้าราคาสูงขึ้นตามความต้องการ ผู้ผลิตได้กำไรมากขึ้น เกิดการขยายธุรกิจ ลงทุนซื้อเครื่องจักร ลงทุนสร้างโรงงาน ซื้อวัตถุดิบมาผลิต จ้างแรงงานเพิ่มขึ้น คนมีเงินมาจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ทำให้เศรษฐกิจประเทศเติบโตมากขึ้น
ไม่อยากปวดหัว ให้มืออาชีพช่วยดูแล
สำหรับหลายคนที่ไม่มีเวลามานั่งติดตามตลาดการลงทุน อยากมีมืออาชีพมาคอยดูแลพอร์ตการลงทุนให้เติบโต แนะนำลงทุนที่กระจายการลงทุนหลากหลายสินทรัพย์ มีจังหวะปรับเพิ่มหรือลดตามสถานการณ์ที่เหมาะสม ไม่ว่าตลาดจะเป็นอย่างไร หรือเงินเฟ้อจะสูง ต่ำ หรือมีความน่ากังวลแค่ไหน โดยให้ลงทุนผ่านกองทุนผสม ตัวอย่างกองทุนผสมหลากหลายสินทรัพย์ที่น่าสนใจ และมีการจัดการที่ดี คือ กองทุน
Wealth Plus ที่นักลงทุนสามารถเลือกลงทุนแบบ DCA ลงทุนแบบสม่ำเสมอเท่ากันทุกเดือน หรือจะเลือกลงทุนตามโอกาสที่ต้องการสะสมเงินลงทุนเป็นรายครั้งได้ นอกจากนี้ในระหว่างการลงทุนจะมีผู้เชี่ยวชาญมาคอยปรับสัดส่วนการลงทุนให้เข้ากับสภาวะช่วงนั้น โดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย ไม่ว่าจะมีเป้าหมายการลงทุนอย่างไร Wealth Plus ก็ช่วยวางแผน ช่วยเลือกกองทุนที่เหมาะสมกับเราได้ ง่าย ครบ จบในตัวเดียว