ประเด็นร้อน: ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงสุดแล้วหรือยัง

ระหว่างวันที่ 30 ส.ค.-3 ต.ค. 2566 SET Index ปรับตัวลง 8.21% ส่วนหนึ่งมาจากการปรับตัวตามทิศทางตลาดหุ้นโลก โดยในช่วงเวลาเดียวกันดัชนีตลาดหุ้นโลก (MSCI World) ปรับตัวลง 6.41% อีกส่วนปัจจัยความกังวลในประเทศมาจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรไทยและค่าเงินบาทที่อ่อนค่า

• ระหว่างวันที่ 30 ส.ค.-3 ต.ค. 2566 SET Index ปรับตัวลง 8.21% ตามการปรับตัวตามทิศทางตลาดหุ้นโลก (MSCI World) ที่ปรับตัวลง 6.41% ในช่วงเวลาเดียวกัน อีกส่วนหนึ่งมาจากความกังวลในประเทศมาจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรไทยและค่าเงินบาทที่อ่อนค่า


• ดัชนี SET ซื้อขายที่ Forward P/E ที่ 14.5 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี ที่ 16.2 เท่า ซึ่งหากรัฐบาลให้ความชัดเจนต่องบประมาณที่จะใช้ดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ จะช่วยลดความกังวลได้ และทำให้นักลงทุนกลับมาให้ความสำคัญต่อแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยและผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน




ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงตามทิศทางตลาดหุ้นโลกและความกังวลในประเทศ

ระหว่างวันที่ 30 ส.ค.-3 ต.ค. 2566 SET Index ปรับตัวลง 8.21% ส่วนหนึ่งมาจากการปรับตัวตามทิศทางตลาดหุ้นโลก โดยในช่วงเวลาเดียวกันดัชนีตลาดหุ้นโลก (MSCI World) ปรับตัวลง 6.41% หลังตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ และผลการประชุม FOMC ชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ แข็งแกร่งกว่าที่คาด ส่งผลให้ Fed มีโอกาสสูงที่จะยังคงนโยบายการเงินตึงตัวต่อไป

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นสะท้อนมุมมองการคงอัตราดอกเบี้ยในระดับสูง จึงส่งผลต่อค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นมาอย่างมีนัยยะ เป็นแรงกดดันสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกซึ่งรวมถึงตลาดหุ้นไทย

ส่วนปัจจัยความกังวลในประเทศมาจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรไทยและค่าเงินบาทที่อ่อนค่า นอกจากเกิดจากปัจจัยภายนอกตามตลาดโลก ยังมีความกังวลต่อความชัดเจนของการจัดหางบประมาณเพื่อใช้สำหรับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ที่อาจกระทบต่อเสถียรภาพการคลังของประเทศ


Downside จากระดับดัชนีปัจจุบันที่ 1,450 จุด มีไม่มาก

ระยะสั้นตลาดหุ้นไทยยังมีความผันผวนและแรงกดดัน ซึ่งต้องติดตามทิศทางอัตราผลตอบแทนพันธบัตรทั้งสหรัฐฯ และไทย รวมถึงทิศทางค่าเงินบาท แต่มองว่า Downside ของตลาดหุ้นไทย จากระดับดัชนีปัจจุบันที่ประมาณ 1,450 จุด มีไม่มาก เนื่องจากคาดว่าอัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มใกล้จุดสูงสุดแล้ว และตลาดได้รับรู้ปัจจัยลบดังกล่าวไปมากแล้ว

ประกอบกับดัชนี SET ซื้อขายที่ Forward P/E ที่ 14.5 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี ที่ 16.2 เท่า ซึ่งหากรัฐบาลให้ความชัดเจนต่องบประมาณที่จะใช้ดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ จะช่วยลดความกังวลได้ และทำให้นักลงทุนกลับมาให้ความสำคัญต่อแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยและผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน


มุมมองและคำแนะนำการลงทุนตลาดหุ้นไทย

K WEALTH ยังมีมุมมอง Slightly Positive ต่อตลาดหุ้นไทย โดยมองว่า SET Index จะปรับตัวขึ้นได้ในไตรมาส 4 ปี 2566 และต่อเนื่องไปในปี 2567 จากแนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่จะฟื้นตัวจากภาคท่องเที่ยว และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐทั้งระยะสั้นและยาว โดยเน้นไปที่การเพิ่มกำลังซื้อให้ประชาชน เพื่อพลิกฟื้นการบริโภคภายในประเทศ ส่งเสริมการค้าและการลงทุนเพื่อเพิ่มศักยภาพของประเทศ ตามมุมมองเศรษฐกิจไทยที่จะเร่งตัวขึ้นในปี 2567


คำแนะนำการลงทุน


• ผู้ที่รับความเสี่ยงจากการลงทุนได้

oต้องการลงทุนกองทุนตลาดหุ้นไทย โดยมองว่าตลาดหุ้นไทยจะรับแรงหนุนจากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว แนะนำพิจารณาลงทุนกองทุน K-STAR
oต้องการกระจายความเสี่ยงและลดความผันผวนของพอร์ตการลงทุน เน้นการลงทุนสินทรัพย์ประเทศไทย และรับความเสี่ยงได้ปานกลางถึงสูง แนะนำพิจารณาลงทุนกองทุน K-PLAN2 และ K-PLAN3

• สำหรับนักลงทุนที่มีความกังวลต่อความผันผวนของตลาดหุ้น

o ชอบกองทุนที่มีนโยบายลงทุนในต่างประเทศบางส่วน แนะนำพิจารณาลงทุนกองทุน K-PLAN1 ถือลงทุนอย่างน้อย 9-12 เดือน หรือ K-FIXEDPLUS แนะนำถือลงทุนอย่างน้อย 1 ปี
oหากไม่สามารถรับความเสี่ยงการลงทุนต่างประเทศได้ แนะนำพิจารณาลงทุนกองทุน K-CBOND ถือลงทุนอย่างน้อย 9-12 เดือน หรือ K-FIXED ถือลงทุนอย่างน้อย 1 ปี
oแต่หากต้องการลงทุนกองทุนที่มีนโยบายเน้นลงทุนตราสารหนี้ต่างประเทศที่มีอันดับความน่าเชื่อถือระดับ Investment Grade แนะนำลงทุนกองทุน K-GB ถือลงทุนอย่างน้อย 3-5 ปี

• สำหรับผู้ที่ยังกังวลกับความผันผวนของตลาดหุ้น

และไม่สามารถรับความเสี่ยงได้ แนะนำพักเงินในกองทุน K-SF ซึ่งเหมาะกับการลงทุน 1-3 เดือน เพื่อรอจังหวะเข้าลงทุนอีกครั้ง หรือกองทุน K-SFPLUS เหมาะกับการลงทุน 3-6 เดือน

ขอขอบคุณข้อมูลจาก KAsset
Disclaimer: “ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน”