SET กลับมายืนเหนือ 1,500 ตามคาด

ตลาดหุ้นไทยกลับมายืนเหนือ 1,500 จุดอีกครั้ง แม้การจัดตั้งรัฐบาลยังไม่สำเร็จ แต่ด้านภาพรวมเศรษฐกิจไทยก็ยังคงดูดี ภาคบริการยังคงฟื้นตัวตามจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาต่อเนื่อง

บทความส่งท้ายเดือนกรกฎาคมนี้เราอยากจะพานักลงทุนทุกท่านไปรีวิวตลาดหุ้นไทยสักเล็กน้อย ย้อนกลับไปปลายเดือนที่แล้วดัชนี SET ณ วันที่ 29 มิถุนายน ทำจุดต่ำสุดในรอบ 2 ปี ที่บริเวณ 1,461 จุด ก่อนกลับมายืนเหนือ 1,500 จุดช่วงสั้นๆ 2-3 วันช่วงต้นเดือน ก.ค. แต่การปรับตัวขึ้นครั้งนั้นยังคงไม่ยั่งยืนจากความไม่แน่นอนในการจัดตั้งรัฐบาล ณ ขณะนั้นยังคงสูงอยู่ แต่ที่น่าสนใจคือวันที่ 14 ก.ค. ที่ตลาดหุ้นไทยกลับมายืนเหนือ 1,500 จุดอีกครั้ง หากเราดูสถิติการซื้อขายของนักลงทุนต่างชาติระหว่างวันที่ 14 ก.ค. – 19 ก.ค. นักลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิหุ้นไทยราว 3,920 ล้านบาท ขณะที่ดัชนี SET ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากราคาปิด 1,494 จุด วันที่ 13 ก.ค. ไปแตะระดับสูงสุดที่ 1,545 จุด ในช่วงเวลาดังกล่าวหลังการรับทราบผลโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีไทยคนที่ 30 รอบแรก ก่อนกลับมาเทขายทำกำไรในวันที่ 20 ก.ค. และ และ 24 ก.ค. 1,702 ล้านบาท และ 4,344 ล้านบาท ตามลำดับ หลังการโหวตนายกฯ รอบ 2 ในวันที่ 19 ก.ค. ถูกเลื่อนออกไป จะเห็นได้ว่าอิทธิพลของเม็ดเงินจากนักลงทุนต่างชาติมีผลต่อตลาดหุ้นไทยไม่น้อยดังที่ผู้เขียนได้อธิบายไว้ในบทความจาก K WEALTH เมื่อวันที่ 4 ก.ค.



มองไปข้างหน้ามีอะไรยังต้องตามต่อ?


หากจะดูว่าตลาดหุ้นไทยผ่านพ้นจุดต่ำสุดไปหรือยัง สิ่งหนึ่งที่ต้องจับตาคือสถานะการลงทุนของต่างชาติว่ากลับมาซื้อสุทธิต่อเนื่องหรืออย่างน้อยหยุดขายหนักเหมือนต้นปีที่ผ่านมาแล้วยัง หากเราหันมามองปัจจัยใดที่จะทำให้นักลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อหุ้นไทยนอกเหนือจากประเด็นการเมืองเริ่มมีเสถียรภาพ ซึ่งปัจจุบันเริ่มชัดเจนขึ้นว่าพรรคเพื่อไทยซึ่งสนับสนุนแนวคิดทุนนิยม (เป็นผลดีต่อตลาดหุ้น) จะขึ้นมาเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลแทนพรรคก้าวไกลแม้ว่าการจัดตั้งรัฐบาลอาจจะล่าช้าไปอีกราว 1 เดือน อีกปัจจัยหนุนจะมาจากการที่เงินดอลลาร์สหรัฐยังคงอยู่ในทิศทางอ่อนค่า โดยสถิติในอดีตมักส่งผลบวกต่อตลาดหุ้นเกิดใหม่ เช่น ไทย ด้านภาพรวมเศรษฐกิจไทยก็ยังคงดูดี ภาคบริการยังคงฟื้นตัวตามจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาต่อเนื่องและหากพรรคเพื่อไทยจัดตั้งรัฐบาลสำเร็จคาดว่าจะดำเนินการกระตุ้นเศรษฐกิจตามที่ได้หาเสียงไว้ทันทีซึ่งหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคภายในประเทศก็ย่อมได้รับประโยชน์



คำแนะนำการลงทุน


เรายังคงมุมมองเป็นกลางต่อหุ้นไทยเหมือนเดิม แต่มองว่ายังมีโอกาสที่หุ้นไทยจะปรับตัวขึ้นได้ต่อแม้ดัชนีกลับมายืนเหนือ 1,500 ตามที่มองไว้ต้นเดือนแล้วก็ตาม เนื่องจากมูลค่า P/E คาดการณ์โดย Bloomberg Consensus ที่ไม่แพงเมื่อเทียบกับหลายประเทศที่ระดับประมาณ 16.4 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี (ข้อมูล ณ วันที่ 21 ก.ค. 2566) ปัจจุบันเรามีกองทุนแนะนำ K-STAR บริหารโดยผู้จัดการกองทุน KAsset แบบ Active Management มีการปรับสัดส่วนการลงทุนให้เหมาะสมกับภาวะตลาดในแต่ละขณะ โดย KAsset ให้เป้าดัชนีหุ้นไทย ณ สิ้นปีนี้ที่ระดับ 1,650 จุด ดังนั้นกลยุทธ์หลังจากนี้สำหรับผู้ลงทุนใหม่ที่ยังไม่ได้ลงทุนเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ให้เน้นทยอยซื้อกองทุน K-STAR เมื่อดัชนีย่อตัวลงมาบริเวณ 1,500 จุด เมื่อเทียบกับเป้าดัชนีสิ้นปีของ KAsset จะคิดเป็น Upside ราว 10%



คำเตือน


ผู้เขียน

K WEALTH Trainer สุกฤษฎิ์ กิตติธนโสภณ
Back to top