ประเด็นร้อน : ความกังวลเศรษฐกิจโลกถดถอยกดดันตลาดหุ้นจีน จังหวะดีเก็บกองทุนหุ้นจีน แนะขายกองทุนหุ้นน้ำมัน

อัปเดตข่าวกองทุนหุ้นจีนล่าสุดยังคงผันผวนจากผลกระทบความกังวลภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอยในปีหน้าแม้จะมีการผ่อนปรนมาตรการณ์ Zero Covid ไปแล้วก็ตาม

กดฟัง
หยุด



• ตลาดหุ้นฮ่องกงปรับตัวลงจากความกังวลภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย ซึ่งบดบังปัจจัยบวกจากการที่รัฐบาลจีนประกาศผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรคโควิด-19 แนะนำถือหรือลงทุนต่อในกองทุนหุ้นจีน

• ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลงจากความกังวลการชะลอตัวของอุปสงค์เชื้อเพลิงในสหรัฐฯ หลังจากตัวเลขสต็อกน้ำมันเบนซินและน้ำมันกลั่นของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นมากกว่าคาดในสัปดาห์ที่แล้ว แนะนำให้ขายคืนทั้งหมดหากมีกำไร



7 ธ.ค. 65 ตลาดหุ้นฮ่องกงและจีนปรับตัวลง โดยดัชนี HSCEI -3.31% HSI -3.22% CSI 300 -0.25% เทียบกับวันก่อนหน้า จากความกังวลภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย ส่งผลให้กองทุนหุ้นจีนอย่างกองทุน K-CHINA, K-CCTV, K-CHX ณ 7 ธ.ค. 65 ราคาปรับตัวลง -2.52%, -0.02% และ -1.05% เทียบกับวันก่อนหน้า ตามลำดับ
ต่อมาวันที่ 8 ธ.ค. 65 ตลาดหุ้นจีนและฮ่องกงกลับมาปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยดัชนี HSCEI +3.63% HSI +3.38% CSI 300 +0.02% เทียบกับวันก่อนหน้า เนื่องจากมีรายงานว่ารัฐบาลฮ่องกงกำลังพิจารณายกเลิกข้อกำหนดการสวมหน้ากากอนามัยนอกอาคาร รวมถึงการอนุญาตให้ตรวจเชื้อโควิด-19 แบบรวดเร็วหรือ ATK แทนการตรวจด้วยวิธี PCR ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนการผ่อนคลายมาตรการเข้มงวดในการควบคุมโรคโควิด-19 ส่งผลให้กองทุนหลักของ K-CHINA (กองทุน JPM China) และกองทุนต่างประเทศที่กองทุน K-ASIACV เน้นลงทุน (กองทุน Morgan Stanley Investment Funds Asia Opportunity) ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้น +3.41% และ +3.05% เทียบกับวันก่อนหน้า คาดว่าจะส่งผลให้กองทุน K-CHINA, K-CCTV, K-CHX, K-ASIACV ณ 8 ธ.ค. 65 ปรับตัวเพิ่มขึ้นในทิศทางเดียวกัน

นอกจากนี้ ราคาน้ำมันดิบโลกยังผันผวน โดยสัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงติดต่อกันเป็นวันที่ 4 ซึ่ง ณ 7 ธ.ค. สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนม.ค. ลดลง 2.24 ดอลลาร์ หรือ 3.02% ปิดที่ 72.01 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งถือเป็นระดับปิดต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 21 ธ.ค. 2564 เป็นต้นมา


ทำไมหุ้นจีนผันผวน


ตลาดหุ้นจีนและฮ่องกงปรับตัวลดลงเนื่องจากได้รับแรงกดดันจากความกังวลภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย ซึ่งความกังวลนี้ได้บดบังปัจจัยบวกจากการที่รัฐบาลจีนประกาศผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรคโควิด-19 มากขึ้น

โดยบลูมเบิร์ก อีโคโนมิกส์ เปิดเผยรายงานการวิเคราะห์ฉบับใหม่ระบุว่า เศรษฐกิจโลกกำลังจะเผชิญกับปีที่เลวร้ายที่สุดในรอบ 30 ปี เนื่องจากวิกฤตการณ์พลังงานที่เป็นผลมาจากสงครามในยูเครนยังคงส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ขณะที่นายสกอตต์ จอห์นสัน นักเศรษฐศาสตร์ของบลูมเบิร์ก อีโคโนมิกส์ คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจโลกจะขยายตัวเพียง 2.4% ในปี 2566 ซึ่งลดลงจากปี 2565 ที่คาดว่าจะขยายตัว 3.2% และจะเป็นอัตราการขยายตัวที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปี 2536 เป็นต้นมา หากไม่นับรวมวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในปี 2552 และปี 2563

ทั้งนี้ ทิศทางเศรษฐกิจของแต่ละประเทศมีความแตกต่างกัน ซึ่งคาดว่าเศรษฐกิจจีนจะขยายตัวมากกว่า 5% โดยได้รับแรงหนุนจากการที่รัฐบาลจีนมีแนวโน้มยุตินโยบายโควิดเป็นศูนย์เร็วกว่าที่คาดและการใช้มาตรการฟื้นฟูตลาดอสังหาริมทรัพย์

ในวันต่อมา 8 ธ.ค. 65 ตลาดหุ้นจีนและฮ่องกงกลับมาปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากได้รับแรงหนุนจากการที่มีรายงานว่ารัฐบาลฮ่องกงกำลังพิจารณายกเลิกข้อกำหนดการสวมหน้ากากอนามัยนอกอาคาร รวมถึงการอนุญาตให้ตรวจเชื้อโควิด-19 แบบรวดเร็วหรือ ATK แทนการตรวจด้วยวิธี PCR ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนการผ่อนคลายมาตรการเข้มงวดในการควบคุมโรคโควิด-19

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าตลาดหุ้นจีนจะผันผวนบ้าง แต่อย่าเพิ่งกังวลใจ เพราะระยะยาวหุ้นจีนน่าจะโตได้ดี มีหลายปัจจัยสนับสนุนการเติบโต อย่างที่เคยได้แนะนำไปก่อนหน้านี้ในหัวข้อ “แนะสะสมกองทุน K-CHINA ขานรับจีนผ่อนคลายมาตรการคุมเข้มโควิด 19”


มุมมองการลงทุนหุ้นจีน


การผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรคโควิด-19 รวมถึงมาตรการฟื้นฟูและเสริมสภาพคล่องให้กับตลาดอสังหาริมทรัพย์ จะเป็นปัจจัยที่ช่วยเรียกความเชื่อมั่นของนักลงทุนกลับมา

อีกทั้งราคาหุ้นยังต่ำกว่าตลาดอื่นมาก และทิศทางนโยบายเศรษฐกิจและนโยบายการเงินของจีนยังเป็นแบบผ่อนคลาย ซึ่งสวนทางกับประเทศอื่นๆ ที่เป็นแบบตึงตัวมากขึ้น


ทำไมราคาน้ำมันดิบ ถึงปรับตัวลดลง


ราคาน้ำมันดิบโลกปรับตัวลดลงเนื่องจากถูกกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของอุปสงค์เชื้อเพลิงในสหรัฐฯ หลังจากตัวเลขสต็อกน้ำมันเบนซินและน้ำมันกลั่นของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นมากกว่าที่คาดในสัปดาห์ที่แล้ว

โดยสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันเบนซินพุ่งขึ้น 5.3 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 2.9 ล้านบาร์เรล ในขณะที่สต็อกน้ำมันกลั่น ซึ่งรวมถึงฮีตติ้งออยล์และน้ำมันดีเซล พุ่งขึ้น 6.2 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 1.9 ล้านบาร์เรล แสดงให้เห็นถึงความต้องการใช้น้ำมันของสหรัฐฯ ที่ลดลง

นอกจากนี้ ตลาดน้ำมันยังได้รับผลกระทบจากความกังวลเรื่องการเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ FED ซึ่งจะส่งผลให้เศรษฐกิจเผชิญกับภาวะถดถอยและกระทบต่อความต้องการใช้น้ำมันที่ลดลงอีกด้วย


คำแนะนำการลงทุน


ผู้ที่ถือกองทุนหุ้นจีน เช่น K-CCTV, K-CHX, K-CHINA ฯลฯ แนะนำถือลงทุนต่อ ส่วนผู้ที่ต้องการลงทุนเพิ่ม สามารถทยอยลงทุนเพิ่มได้ แต่ควรเป็นเงินที่สามารถลงทุนระยะยาวได้

ผู้ที่ถือกองทุนน้ำมัน เช่น K-OIL อยู่ แนะนำให้พิจารณาขายคืนทั้งหมดหากมีกำไร ส่วนผู้ที่ต้องการลงทุนเพิ่ม ไม่แนะนำให้ลงทุน

สำหรับผู้ที่กังวลกับความผันผวนของตลาดหุ้น แต่ยังคงรับความเสี่ยงจากการลงทุนได้หรือต้องการรับผลตอบแทนระยะยาว แนะนำลงทุนกองทุนผสม เช่น กองทุน K-GINCOME-A(A) ที่มีการแบ่งสัดส่วนและกระจายเงินลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลายทั่วโลก ช่วยลดความผันผวนและความเสี่ยงจากการลงทุนในสินทรัพย์หรือหุ้นที่กระจุกตัวเพียงบางประเทศ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก KAsset, Ryt9, กรุงเทพธุรกิจ

Disclaimer: “ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน”