K WEALTH / บทความ / Market Update / ประเด็นร้อน : เตือนนักลงทุนจับตาหุ้นสหรัฐฯ ติดลบตามหุ้นกลุ่ม Tech
11 สิงหาคม 2565
2 นาที

ประเด็นร้อน : เตือนนักลงทุนจับตาหุ้นสหรัฐฯ ติดลบตามหุ้นกลุ่ม Tech


​​​​“

9 ส.ค. 65 ตลาดหุ้นหลักของสหรัฐฯ มีการปรับตัวลดลง เช่น ดัชนี Nasdaq -1.19% S&P500 -0.42% Dow Jones -0.18% เทียบกับวันก่อนหน้า ในขณะที่กองทุนหลักของ K-USA (US Advantage) ซึ่งเป็นกองทุนที่นโยบายการลงทุนแบบเชิงรุก (active management) ราคามีการปรับตัวลงแรงกว่า โดยลดลง -4.75%เทียบกับวันก่อนหน้า ซึ่งคาดว่าจะส่งผลให้ราคากองทุน K-USA ณ 9 ส.ค. ที่จะประกาศในคืนนี้ ปรับตัวขึ้นลงในทิศทางที่สอดคล้องกับกองทุนหลัก



สาเหตุที่ หุ้นสหรัฐฯ และกองทุน K-USA ปรับตัวลง ในวันที่ 9 ส.ค. 65

9 ส.ค. นักลงทุนมีความระมัดระวังในการซื้อขายหุ้น ในช่วงก่อนที่สหรัฐฯ จะมีการเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ที่เป็นตัววัดอัตราเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค ในวันที่ 10 ส.ค. โดยถือเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่ FED (ธนาคารกลางสหรัฐฯ) ใช้ในการพิจารณาประกาศขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่ง FED จะมีการประชุมอีกครั้งในวันที่ 20-21 ก.ย. 65


นอกจากภาพรวมของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ปรับตัวลดลงแล้ว หลังจากที่บริษัทไมครอน เทคโนโลยี (Micron Technology Inc) ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปรายใหญ่ของสหรัฐฯ ได้ประกาศปรับคาดการณ์รายได้ของตน ใน Q4/ 65 ลดลง จากที่เคยคาดการณ์ไว้ตอน มิ.ย. 65 ซึ่งนอกจากส่งผลให้ราคาหุ้นของบริษัทไมครอน เทคโนโลยี ตอนปิดตลาดปรับตัวลง -3.74%เทียบกับวันก่อนหน้าแล้ว ยังทำให้ราคาหุ้นของบริษัทผลิตชิปรายอื่นๆ ปรับตัวลงด้วย โดยสาเหตุหลักของการปรับลดคาดการณ์รายได้ครั้งนี้ เกิดจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจและปัญหาการผลิตและส่งมอบสินค้าที่เกี่ยวข้องกับชิป (ห่วงโซ่อุปทาน)


อย่างไรก็ดี บริษัทไมครอน เทคโนโลยีประกาศว่ามีแผนที่จะลงทุนในช่วงปีนี้จนถึงปี 2573 ด้วยมูลค่าเงินลงทุน 4 หมื่นล้านดอลลาร์ เพื่อผลิตชิปในสหรัฐฯ ซึ่งจะได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐของสหรัฐฯ ตามกฎหมาย CHIPS and Science Act ที่ประธานาธิบดี โจ ไบเดน เพิ่งลงนามไปเมื่อ 9 ส.ค. โดยกฎหมายดังกล่าว มีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นศักยภาพทางการแข่งขันของสหรัฐฯ ในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ที่ทั่วโลกกำลังประสบปัญหาขาดแคลนมาระยะหนึ่ง โดยปัจจุบันสหรัฐฯ มีกำลังการผลิตชิปเพียง 12%ของกำลังการผลิตทั่วโลก จากที่ในอดีตเมื่อปี 2533 สหรัฐฯ เคยมีการผลิตชิปสูงถึง 37%



หุ้นสหรัฐฯ และกองทุน K-USA กลับมาปรับตัวขึ้น ในวันที่ 10 ส.ค. 65

10 ส.ค. ตลาดหุ้นหลักของสหรัฐฯ กลับมาบวกอีกครั้ง เช่น ดัชนี Nasdaq +2.89% S&P500 +2.13% Dow Jones +1.63% เทียบกับวันก่อนหน้า ส่วนกองทุนหลักของ K-USA (US Advantage) ราคามีการปรับตัวขึ้น +4.02%เทียบกับวันก่อนหน้า


ปัจจัยหลักที่ทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ และอีกหลายประเทศทั่วโลกปรับตัวขึ้นในวันที่ 10 ส.ค. เกิดจากการที่สหรัฐฯ เปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือน ก.ค. +8.5%เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อนหน้า ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 8.7%


ทำให้นักลงทุนลดความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของ FED โดยหุ้นกลุ่มที่ปรับตัวขึ้นจากปัจจัยดังกล่าวหลักๆ ได้แก่ หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี หุ้นกลุ่มธนาคาร ฯลฯ ตัวอย่างเช่น ราคาหุ้นของบริษัทไมครอน เทคโนโลยี ที่ ณ 10 ส.ค. ปรับตัวขึ้น +3.8%เทียบกับวันก่อนหน้า หลังจากที่วันก่อนปรับตัวลง



หุ้นในกองทุนหลักของ K-USA ที่ราคามีการเปลี่ยนแปลง

หากพิจารณาหุ้น 10 อันดับแรก ที่กองทุนหลักของ K-USA ลงทุนมากที่สุด ณ 30 มิ.ย. 65 คิดเป็นสัดส่วนรวม 57.34% ของมูลค่ากองทุน พบว่า ณ 9 ส.ค. มี 9 จาก 10 หุ้น ที่ราคาปรับตัวลงเทียบกับวันก่อนหน้า ส่วน ณ 10 ส.ค. ราคาหุ้นทั้ง 10 หุ้น ราคามีการปรับตัวขึ้นเทียบกับวันก่อนหน้า โดยมีรายละเอียดตามตารางด้านล่าง​



จากตารางพบว่า ณ 9 ส.ค. มีอยู่ 3 หุ้น คิดเป็นสัดส่วนรวมเกือบ 18%ของมูลค่ากองทุน ที่ราคาปรับตัวลงมากกว่า 5%เทียบกับวันก่อนหน้า ได้แก่ 

     • Snowflake Inc ที่เป็นบริษัทผู้ให้บริการระบบ Cloud และเน้นจัดการฐานข้อมูล

     • ASML ADR ที่ทำธุรกิจวิจัยและพัฒนาเครื่องจักร ที่ใช้สำหรับการพิมพ์ลายลงบนชิป 

     • Shopify Inc ที่เป็นบริษัทอีคอมเมิร์ซ ขนาดใหญ่ของแคนาดา 


ส่วน ณ 10 ส.ค. ซึ่งราคาหุ้นส่วนใหญ่ปรับตัวขึ้นแรง เมื่อเทียบกับช่วงที่ราคาลงในวันก่อนหน้า โดยมีอยู่ 2 หุ้น คิดเป็นสัดส่วนรวมเกือบ 10%ของมูลค่ากองทุน ที่ราคาปรับตัวขึ้นมากกว่า 10%เทียบกับวันก่อนหน้า ได้แก่ The Trade Desk, Inc ซึ่งเป็นบริษัทเทคโนโลยีที่ทำการตลาดแพลตฟอร์มซอฟต์แวร์สำหรับผู้ซื้อโฆษณาดิจิทัล และ Shopify Inc ที่เป็นบริษัทอีคอมเมิร์ซ ​



มุมมองการลงทุน ตลาดหุ้นสหรัฐฯ

     • รายงาน GDP ของสหรัฐฯ Q2/65 หดตัวลง -0.9% (เทียบรายปี) เป็นการหดตัวติดต่อกันสองไตรมาสหลังจากที่ไตรมาสแรกหดตัวลง -1.6% ทำให้สหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะถดถอยทางเทคนิค (Technical Recession) โดยปัจจัยหลักมาจากการหดตัวของสินค้าคงคลัง รวมถึงการลงทุนของภาครัฐและภาคเอกชน ในขณะที่การบริโภคยังขยายตัวได้ 1% โดยหัวหน้าทีมเศรษฐศาสตร์ของ Moody’s Analytics มองว่าเศรษฐกิจอยู่ในภาวะชะลอตัวเท่านั้น ยังไม่ใช่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย 

     • KAsset ยังคงมุมมองให้คงน้ำหนักการลงทุน (Neutral) ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยปัจจุบันการประเมินมูลค่าของตลาดหุ้นสหรัฐฯ อยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ย 10 ปี ประกอบกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ จากการดำเนินนโยบายที่ตึงตัวของ FED เพื่อสกัดเงินเฟ้อที่ทรงตัวในระดับสูง จะยังจำกัดการปรับตัวขึ้น (Upside) ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ​


คำแนะนำการลงทุน

     ● ผู้ที่ถือกองทุนหุ้นสหรัฐฯ อยู่ (เช่น K-USA, K-USXNDQ) แนะนำให้ถือต่อและประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ส่วนผู้ที่ต้องการลงทุนเพิ่มยังไม่แนะนำให้ลงทุนตอนนี้ ควรรอประเมินสถานการณ์ก่อน ทั้งในแง่สภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และการประชุม FED ที่จะมีขึ้นในเดือน ก.ย. พ.ย. และ ธ.ค. ของปีนี้ 

     ● สำหรับผู้ที่รับความเสี่ยงได้ แนะนำพิจารณาทางเลือกในการทยอยลงทุนในกองทุนหุ้นจีน (เช่น K-CHX, K-CHINA) หรือหากถืออยู่แนะนำถือลงทุนต่อ แต่ควรเป็นเงินที่สามารถลงทุนระยะยาวได้ เนื่องจากตลาดหุ้นจีนยังคงมีความผันผวนจากมาตรการล็อกดาวน์และสถานการณ์ภาคอสังหาริมทรัพย์ 

     ● สำหรับผู้ที่ยังกังวลกับความผันผวนของตลาดหุ้น แนะนำพักเงินในกองทุน K-CASH เพื่อรอจังหวะเข้าลงทุนอีกครั้ง


ขอขอบคุณข้อมูลจาก KAsset, Infoquest 


Disclaimer: “ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน”


บทความโดย K WEALTH TRAINER ราชันย์ ตันติจินดา CFP®
KBank LIVE
 

ติดตามข่าวสารการเงินจาก
K WEALTH ฟรี!

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

ประเด็นร้อน : หุ้นยุโรปปรับตัวบวก แต่ยังมี 3 ปัจจัยลบกดดัน
แรงกระเพื่อมเศรษฐกิจโลก หลังเพโลซีเยือนไต้หวัน
ประเด็นร้อน : ติดตามตลาดหุ้นสหรัฐฯและจีน หลังประกาศงบและตัวเลขสำคัญทางเศรษฐกิจ