ทำไมทองดิจิทัลร่วง แต่ทองแท่งยังรุ่ง?

เป็นปีที่ร้อนแรงของของสินทรัพย์ทางเลือกอย่าง Bitcoin และทองคำ ที่ราคาขึ้นแรงจนขึ้นพาดหัวข่าวอยู่บ่อยครั้ง

ถึงแม้จะเปิดปีมาอย่างร้อนแรง แต่ Bitcoin กลับเริ่มแสดงว่าความอ่อนแอ ในขณะที่ทองคำยังคงรักษาฐานราคาแข็งแกร่ง

ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น? เหตุผลอะไรบ้างที่หนุน 2 สินทรัพย์นี้? และสินทรัพย์ไหนที่ควรลงทุนต่อ?

บทความนี้จะสำรวจเหตุผลง่ายๆที่มีความเป็นไปได้มากที่สุด

ทำไม Bitcoin ถึงร่วงแรง?

1. เมื่อสภาพคล่องหดตัว สินทรัพย์เสี่ยงต้องไปก่อน :
   
   
   

   Source: TradingView (BTC/USD: indicator Global Liquidity Index 75 days time lag)

   
   

   ความพิเศษของ Bitcoin คือความสามารถในการซื้อ-ขายตลอด 24 ชั่วโมง ดังนั้นเมื่อไหร่ที่เหล่านักลงทุนต้องการสภาพคล่อง คริปโตเคอเรนซีคือสิ่งแรกที่เขาจะขายเพื่อแลกเป็นเงินสด

   
   

   ภาพด้านบนแสดงความสัมพันธ์ของราคา Bitcoin กับสภาพคล่องในโลก (Global Liquidity Index) ในอดีตมีความสอดคล้องกันเป็นอย่างมาก จะสังเกตุได้ว่าบ่อยครั้งที่สภาพคล่องในโลกมีการหดตัวลง ราคา Bitcoin นั้นก็จะปรับตัวลดลงสอดคล้องกัน เช่นเดียวกับขาขึ้น

   
   
2. โครงสร้างผู้ถือครอง Bitcoin ยังเป็นรายย่อยเป็นหลัก
   

   Source: River Learn.com

   
   

   ถึงแม้จะมีข่าวการเข้ามาของกลุ่มนักลงทุนสถาบันหรือระดับชาติ แต่ ณ ปัจจุบัน 70% ของ Bitcoin ยังอยู่ในมือบุคคลทั่วไป ทำให้ราคาผันผวนสูง และยังคงมีวัฏจักรขึ้น-ลงทุก 4 ปีตามปริมาณการขุดที่ลดลง

   
   ภาพวัฎจักรวงจรการขึ้น-ลง ของราคา Bitcoin
   

   Source: chart by Profit_Through_Patience

   
   

แล้วทำไมทองคำถึงแตกต่าง?

อายุและความน่าเชื่อถือ: Bitcoin เป็นสินทรัพย์น้องใหม่ที่พึ่งถือกำเนิดมาได้เพียง 16 ปี ในขณะที่ทองคำนั้นคาดการณ์ว่าได้เป็นวัตถุมีค่าสำหรับมนุษย์ตั้งแต่ 4,000 ปีก่อนคริสต์กาลเสียอีก ดังนั้นจำนวนผู้คนที่คุ้นชินและสบายใจกับการลงทุนในทองคำนั้นมีมากกว่า Bitcoin อย่างแน่นอน

ความต้องการหลากหลาย: ถึงแม้ว่า Bitcoin และทองคำนั้นจะมีคุณลักษณะ supply ที่เหมือนกัน แต่ด้าน demand นั้นต่างกันอย่างสิ้นเชิง

จากภาพเราจะเห็นว่าทองคำนั้นถูกนำไปใช้ในหลายรูปแบบมากกว่า มีความต้องการในระดับบุคคลและสถาบันการเงินที่มีความมั่นคงสูงอย่างธนาคารกลางต่างๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะในกลุ่ม BRICS ทำให้ราคาทองมีแรงหนุนจากหลายกลุ่ม ไม่ผันผวนเท่า Bitcoin ที่ส่วนใหญ่มีแต่รายย่อย

Source: World Gold Council

ผลลัพธ์ของความแตกต่าง

Source: TradingView (XAU/USD, BTC/USD)

เมื่อสองสินทรัพย์คุณลักษณะเดียวกัน อยู่ในมือของกลุ่มคนที่แตกต่างกัน การตีมูลค่าในแต่ละช่วงเวลาจึงมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ในขณะที่ทองคำราคาปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ราคาของ Bitcoin กลับเคลื่อนไหวด้วยความผันผวนที่สูงกว่า และมีแนวโน้มซ้ำรอยการปรับฐานแรงตามรอบ 4 ปี

กลยุทธ์ลงทุนทองคำ: DCA

ภาพด้านบนเป็นการคำนวนผลตอบแทนที่ได้จากการจับจังหวะเข้าซื้อทองคำในแต่ละเดือนและถือไป 1 ปี โดยใช้ข้อมูลย้อนหลังตั้งแต่ปี 1996 จนถึงปี 2024 จากภาพจะพบว่า การเลือกจับจังหวะลงทุนนั้นโดยเฉลี่ย*มีโอกาสสร้างผลตอบแทนน้อยกว่าการลงทุนแบบ DCA ที่สร้างผลตอบแทนเฉลี่ยประมาณ 10% ต่อปี** จึงเป็นที่มาว่าทำไมกลยุทธ์การออมทองอย่างค่อยเป็นค่อยไปนั้นมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่สม่ำเสมอกว่าการเลือกจับจังหวะในการลงทุน

*จำนวนเดือนที่สร้างผลตอบแทนได้น้อยกว่าผลตอบแทนการลงทุนแบบถัวเฉลี่ย

**ผลตอบแทนในอดีตมิได้ยืนยันถึงผลตอบแทนในอนาคต กองทุนรวมนี้มีลักษณะและความเสี่ยงเฉพาะ ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะเงื่อนไขของผลตอบแทนและความเสี่ยงของกองทุนรวมก่อนตัดสอนใจลงทุน

แนะนำวิธีการลงทุนในทองคำ

1. การออมทอง: แค่มี K+ ก็สามารถออมทองคำได้ทันที ผ่านความร่วมมือของธนาคารกสิกรไทยกับ แม่ทองสุก จุดเด่นคือสามารถเริ่มต้นลงทุนด้วยเงินเพียง 10 USD ซื้อขายทองคำได้แบบเรียลไทม์ ตั้งแต่ 7.00 – 03.00 วันจันทร์ถึงวันศุกร์ โดยอิงราคาตามตลาดโลก เลือกได้ทั้งทองคำบริสุทธิ์ 99.99% และทองคำ 96.5% จะเก็บสะสมไว้ในระบบ หรือเลือกรับเป็นทองคำจริงส่งถึงบ้านก็สะดวกและปลอดภัย ตอบโจทย์นักลงทุนทุกสไตล์
2. กองทุนรวม K-GOLD ที่ลงทุนในกองทุนทองคำระดับโลกอย่าง SPDR Gold Trust มีให้เลือก 2 แบบ:
   • K-GOLD-A(A) แบบสะสมมูลค่า เหมาะกับคนที่อยากสร้างพอร์ตเติบโตระยะยาวด้วยทองคำ และ
   • K-GOLD-A(D) แบบปันผล เหมาะกับนักลงทุนที่อยากได้ทั้ง Capital Gain จากราคาทองคำ และผลตอบแทนระหว่างทางผ่านเงินปันผล

ไม่ว่าวิธีไหน เพียงแค่มีแอป K+ การเริ่มต้นออมทองคำไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป

ขอขอบคุณข้อมูลจาก: KBank, TradingView, World Gold Council, Bloomberg, River Learn.com