K WEALTH / บทความ / Wealth Management / โอกาสทำกำไรของสินทรัพย์ทั่วไป และสินทรัพย์ดิจิทัล
12 พฤษภาคม 2565
4 นาที

โอกาสทำกำไรของสินทรัพย์ทั่วไป และสินทรัพย์ดิจิทัล


● เทรดคริปโทเคอร์เรนซีสามารถทำได้ตลอด 24 ชั่วโมง ราคาเหรียญจะขึ้นอยู่กับความต้องการของตลาด ต่างจากการเทรดหุ้นที่ทำการซื้อขายตามวันและเวลาที่กำหนด กำไรมาจากส่วนต่างการซื้อขาย และมีปันผล


● หากเน้นความสม่ำเสมอ แนะนำเป็นการหาเงินด้วยวิธีการฟาร์มเหรียญ หรือ การฝากเงินเข้าบัญชี ผลตอบแทนหรือกำไรจะได้มาในรูปแบบของค่าธรรมเนียม ดอกเบี้ย


● หากชื่นชอบในงานศิลปะสามารถก่อให้เกิดรายได้ด้วยวิธี NFT ที่ทำการซื้อขายในรูปแบบดิจิทัล หรือการฝากรูปถ่ายหรืองานศิลปะของเราบนเว็บฝากขายรูปก็สามารถสร้างรายได้ได้เช่นกัน



จากความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ ของแพง ฯลฯ ทำให้เกิดข้อจำกัดในการใช้ชีวิตประจำวัน บางคนขาดรายได้ หรือรายได้ไม่เพียงพอมาดูแลคนในครอบครัว จะเห็นได้ว่าปัจจัยเหล่านี้ขับเคลื่อนได้ด้วยเงิน ทำให้อยากมีเงินเพิ่มหรือมีรายได้พิเศษหลายๆ ทางเพื่อความมั่นคงของตัวเอง แต่ด้วยสภาวะแบบนี้หลายคนกลัวและไม่รู้ว่าจะลงทุนอะไรหรือจะหาเงินเพิ่มด้วยวิธีใดบ้าง และในยุคนี้วิธีหาเงินเพิ่มส่วนใหญ่เป็นช่องทางออนไลน์ เพราะเป็นช่องทางที่ดีและสะดวกอยู่ที่ไหนก็สามารถทำได้ตอบโจทย์ยุคสมัยปัจจุบัน จึงได้รวบรวมวิธีหาเงินหรือลงทุนเพิ่มสำหรับยุคใหม่ มาให้อ่านกัน



เทียบหมัดต่อหมัดวิธีหาเงิน

มีหลากหลายวิธี หรือ อาชีพ ที่สามารถทำให้มีรายได้เพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนจึงจับคู่เทียบวิธีเหล่านั้นดังนี้


1) เทรด Cryptocurrency VS เทรดหุ้น

การเทรดคริปโทเคอร์เรนซี กับ การเทรดหุ้น ถือเป็นการลงทุนในอีกรูปแบบหนึ่ง โดยที่การเทรดคริปโทฯ เป็นการนำเงินไปแลกเปลี่ยนเป็นสกุลเงินดิจิทัล เช่น Bitcoin Ethereum แล้วทำการซื้อขายกันได้ตลอด 24 ชั่วโมง บนบัญชีที่บันทึกด้วยเทคโนโลยี บล็อกเชน ราคาของเหรียญขึ้นอยู่กับความต้องการซื้อขายในตลาด โดยใช้โอกาสจากความผันผวนของราคา ยิ่งเหรียญมีความต้องการมาก ราคาของเหรียญนั้นก็จะดีดตัวสูงขึ้น 


ก่อนจะลงทุนเทรดเหรียญควรอ่านและศึกษาข้อมูลของเหรียญนั้นๆ จาก White Paper ซึ่งเป็นเอกสารที่ผู้สร้างเหรียญระบุข้อมูลที่เกี่ยวกับเหรียญทั้งหมดไว้ จะได้นำข้อมูลมาประกอบการตัดสินใจได้​


ส่วนการเทรดหุ้น เป็นการซื้อขายหุ้นโดยนำเงินของนักลงทุนไปร่วมลงทุนกับบริษัทที่เข้าตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งนักลงทุนจะเป็นเจ้าของหรือหุ้นส่วนตามจำนวนหุ้นที่ถืออยู่ สามารถเทรดหุ้นได้ตามเวลาที่กำหนด


ผลตอบแทนจะมาจากกำไรส่วนต่างของราคาหุ้นที่นักลงทุนซื้อมากับราคาที่ขายไป และเงินปันผล หากหุ้นของบริษัทที่ซื้อมีนโยบายจ่ายเงินปันผล และก่อนที่จะเทรดหุ้นหรือซื้อขายหุ้นก็ควรดูให้เหมาะกับลักษณะนิสัยพื้นฐานของตัวเราเองด้วย เช่น หากนักลงทุนเลือกซื้อหุ้นโดยพิจารณาปัจจัยพื้นฐานจากผลการดำเนินงานบริษัท ควรอ่านและศึกษา งบกำไรขาดทุน งบดุล และงบกระแสเงินสด เพื่อประกอบการตัดสินใจแล้วรอจังหวะเข้าซื้อหุ้นในราคาที่เหมาะสม หากนักลงทุนชอบในการวิเคราะห์เชิงเทคนิค ควรดูกราฟย้อนหลัง เพื่อหาสัญญาณในการเข้าซื้อ และจุดขายทำกำไร


2) การฟาร์มเหรียญ VS การฝากเงินเข้าบัญชี

จะเป็นรูปแบบการลงทุนในลักษณะของการฝากเหรียญหรือเงินเข้าบัญชี โดย การฟาร์มเหรียญ หรือ Yield Farming เป็นวิธีการลงทุนอีกรูปแบบหนึ่งใน Cryptocurrency ผลตอบแทนหรือกำไรจะได้มาในรูปแบบของค่าธรรมเนียม ดอกเบี้ย หรือเหรียญ Token บนแพลตฟอร์ม DeFi ที่นักลงทุนนำสินทรัพย์ดิจิทัลของตัวเองไปฝากไว้นั่นเอง


ซึ่งรูปแบบของผลตอบแทนจะคล้ายกับการฝากเงินเข้าบัญชี ไม่ว่าจะเป็นบัญชีกระแสรายวัน ฝากประจำ ออมทรัพย์ ฯลฯ ที่จะได้มาในรูปแบบของดอกเบี้ย แต่สิ่งที่แตกต่างกันคือการฟาร์มเหรียญจะถูกควบคุมด้วยระบบ Automated Market Maker (AMM) ที่จะช่วยดูแลสภาพคล่องจับคู่ซื้อขายสินทรัพย์เพื่อการลงทุนชนิดต่างๆบนโลกดิจิทัล


หากนักลงทุนรับความเสี่ยงได้สูงและต้องการผลตอบแทนสม่ำเสมอการฟาร์มเหรียญมีโอกาสตอบโจทย์ดังกล่าวได้ หรือหากนักลงทุนไม่ชอบเสี่ยงหรือรับความเสี่ยงได้น้อยแนะนำเป็นฝากเงินเข้าบัญชีซึ่งปัจจุบันก็มีให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เช่น K-eSavings ซึ่งเป็นบัญชีเงินฝากออมทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์ ดอกเบี้ย 1.5% ต่อปี


3) NFT + Coral VS ขายภาพออนไลน์

มาพูดถึงวิธีหาเงินหรือสร้างรายได้จากผลงานศิลปะกันบ้าง วิธีแรกคือ NFT (Non-Fungible Token) เป็นเหรียญดิจิทัลรูปแบบหนึ่งที่ทำขึ้นมาเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ ของสิ่งที่ถูกแปลงไปอยู่ในรูปแบบของดิจิทัล มีลักษณะเฉพาะตัวไม่มีอะไรมาทดแทนได้ เช่น ผลงานศิลปะ รูปภาพ เพลง หนัง ไอเทมเกม หรือที่ดินจำลอง ฯลฯ


โดยทั่วไป NFT มีการซื้อขายกัน 2 แบบ คือการตั้งราคาแบบตายตัว กับการประมูลราคา โดยทำการซื้อหรือขายกับบนแพลตฟอร์ม เช่น Opensea, Sorare, Decentraland เป็นต้น ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มจากต่างประเทศ ส่วนแพลตฟอร์มในไทย คือ Coral เป็นแพลตฟอร์มซื้อขายชิ้นงาน NFT จาก KASIKORN X สามารถใช้สกุลเงินทั่วไปทำการซื้อได้ เช่น เงินบาทไทยหรือ เงินดอลลาร์สหรัฐฯ รวมไปถึงสามารถ โอนจ่ายผ่าน Mobile Banking ได้อีกด้วย สะดวกทั้งฝั่งคนซื้อและคนขาย ในขณะที่แพลตฟอร์มอื่นต้องแลกเหรียญสกุลคริปโทฯ เพื่อนำมาซื้องานศิลปะ ซึ่งก่อให้เกิดความยุ่งยาก



แนวทางการบริหารจัดการรายได้

พอมีรายได้เข้ามาถึงเกณฑ์ที่กำหนดสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ก็คือเรื่องของการเสียภาษี จากตัวอย่างด้านบนสำหรับรายได้จากการเทรดคริปโทเคอร์เรนซีหากเป็นกำไรจากการจำหน่าย โอน แลกเปลี่ยนเหรียญ ถือเป็นเงินได้ประเภท 40(4)ฌ หากขุดเหรียญจะไม่นับเป็นเงินได้ แต่ถ้ามีการเอาเหรียญที่ขุดไปจำหน่าย โอน แลกเปลี่ยน จะถือเป็นเงินได้ 40(8)


ส่วนการเทรดหุ้นในประเทศไทย กำไรจากการขายหุ้นยังได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษี แต่ต้องเป็นไปตามเงื่อนไขคือมีการซื้อขายหุ้นที่เกิดขึ้นในตลาดหลักทรัพย์เท่านั้น แต่ถ้ามีการขายหุ้นหรือโอนไปนอกตลาดหลักทรัพย์ นักลงทุนที่เป็นบุคคลธรรมดาที่อยู่ในประเทศไทยมากกว่าหรือเท่ากับ 180 วันในปีภาษีนั้น จะต้องถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย ตามอัตราภาษีก้าวหน้า และต้องนำเงินได้ไปรวมคำนวณตอนสิ้นปีด้วย


แต่หากกำไรจากการเทรดหุ้นเข้ารูปแบบบริษัท(นิติบุคคล) จะไม่ได้รับสิทธิยกเว้นภาษี จะต้องนำไปรวมเป็นรายได้เพื่อคำนวณภาษีเงินได้ และหากหุ้นที่ทำการซื้อขายนั้นมีการจ่ายเงินปันผลจะต้องถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 10%


สำหรับรายได้จากการฟาร์มเหรียญ ถือเป็นเงินได้ประเภท 40(8) ส่วนการการฝากเงินเข้าบัญชี ให้นับดอกเบี้ยรับรวมไม่เกิน 20,000 บาทต่อปี จะได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษี แต่ถ้าเกินจะเข้าข่ายเสียภาษี และจะโดนหักภาษี ณ ที่จ่าย 15% (เฉพาะดอกเบี้ยที่ได้รับเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับเงินต้น) เป็นต้น ส่วนรายได้จาก NFT ซึ่งถือว่ามีรายได้จากการขาย ถือเป็นเงินได้ประเภท 40(4)ฌ และการขายภาพออนไลน์ ภาพหรือผลงานนั้นจะเป็นของที่มีลิขสิทธ์ จึงถือเป็นเงินได้ 40(3) ดังนั้นหากเรากำลังมองหาอาชีพหรือวิธีในการหาเงินต้องไม่ลืมคิดถึงการเสียภาษีเงินได้ให้ถูกต้องด้วย จะได้ไม่มีปัญหาตามมาภายหลัง 


ขอขอบคุณข้อมูลจาก : Finnomena, กรมสรรพากร



บทความโดย K WEALTH GURU พธพร รัตนสิโรจน์กุล
KBank LIVE
 

ติดตามข่าวสารการเงินจาก
K WEALTH ฟรี!

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

ผลิตภัณฑ์ที่แนะนำ