Bond Yield ขึ้น กระทบอะไรบ้าง

ทำความเข้าใจ Bond Yield กันหน่อย ส่งผลกระทบอะไรบ้างต่อพอร์ตของเรา

ช่วงนี้จะเห็นพาดหัวข่าวเศรษฐกิจ ที่มักพูดถึง Bond Yield ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลก มีการปรับตัวลดลง ราคา NAV ของกองทุนตราสารหนี้ปรับตัวลดลง เลยนึกสงสัยว่า Bond Yield คืออะไร มันเกิดอะไรขึ้น รวมถึงสร้างผลกระทบกับตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้ไปอีกนานเพียงใด วันนี้เรามาชวนคุยเรื่องนี้กัน


Bond Yield คือ อัตราผลตอบแทนที่นักลงทุนอยากได้จากการลงทุนในตราสารหนี้ ซึ่งมักใช้พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี เป็นตัวแทนสู่ระดับ 1.437% ภายในระยะเวลา 1 คืน และทำจุดสูงสุดที่ระดับ 1.636 % ภายในระยะเวลา 13 วันเนื่องจากได้รับความสนใจมากที่สุดจากนักลงทุนทั่วโลก โดยเมื่อ 23 กันยายน 2564 Bond Yield สหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น จากจุดต่ำสุด 1.304%

ในขณะที่ประเทศไทย ช่วงปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา คณะกรรมการวินัยการเงินการคลัง มีมติเพิ่มเพดานหนี้สาธารณะ เป็น 70%ของ GDP จากเดิมที่ 60%ของ GDP เพื่อรองรับการกู้เงินเพิ่มเติมของรัฐบาล รวมถึงการออกพันธบัตรรัฐบาลที่มากกว่าคาด ส่งผลให้ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น


ส่งผลต่อตลาดหุ้นอย่างไร
ตลาดหุ้นทั่วโลกมีการปรับตัวลง หลังจากการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงินธนาคารกลางสหรัฐฯ ในช่วงที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้นสหรัฐฯ (S&P 500) ปรับตัวลงต่ำสุด 3.34% ตลาดหุ้นยุโรป (STOXX 600) ปรับตัวลงต่ำสุด 3.58% ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ( Nikkei 225 ) ปรับตัวลงต่ำสุด 8.99% ในขณะที่ตลาดหุ้นไทย (SET) ปรับตัวลงต่ำสุด 1.59% โดยมีปัจจัยกดดันจากการที่ Bond Yield ปรับตัวสูงขึ้น จากการคาดการณ์ว่าในอนาคตจะมีการขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งส่งผลให้ต้นทุนการกู้ยืมของธุรกิจสูงขึ้น กระทบกำไรของบริษัท นอกจากนี้ การที่ผลตอบแทนของตราสารหนี้ปรับตัวสูงขึ้น ก็ทำให้ตลาดหุ้นมีความน่าสนใจน้อยลง จึงเกิดการเทขายหุ้น กดดันให้ตลาดหุ้นปรับตัวลง



คำแนะนำ สำหรับการลงทุนในตราสารทุน

สำหรับการลงทุนระยะยาว การปรับขึ้นของดอกเบี้ยนโยบาย ที่ทำให้ Bond Yield ปรับตัวขึ้น เป็นเพียงเครื่องมือหนึ่งที่ใช้ควบคุมเงินเฟ้อเพื่อลดความร้อนแรงของเศรษฐกิจไม่ให้มากจนเกิดผลเสีย ซึ่งเป็นเพียงหนึ่งในหลายๆ สาเหตุที่ทำตลาดหุ้นมีความผันผวนเท่านั้น ซึ่งการลงทุนระยะยาว จะสามารถลดความผันผวนได้ด้วย “ระยะเวลา ” ช่วยให้มีโอกาสได้ผลตอบแทนดียิ่งขึ้น

แนะนำให้เลือกหุ้นที่มีผลประกอบการที่ดี ธุรกิจมีโอกาสเติบโตและมีโอกาสสร้างกำไรได้ในอนาคต รวมถึงมีการทำธุรกิจอยู่ในประเทศหรือภูมิภาคที่ยังมีโอกาสเติบโตได้สูง ผ่านกองทุนรวม เช่น K-CHINA / K-CHX / K-ASIACV /K-ASIAX / K-ATECH / K-VIETNAM ที่ในระยะสั้นราคามีการปรับตัวลง นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง สามารถทยอยสะสม เพื่อรับผลตอบแทนเมื่อสถานการณ์กลับมาดีขึ้นอีกครั้ง แต่หากนักลงทุนรับความเสี่ยงปานกลางค่อนข้างสูง แนะนำกองทุน K-GINCOME / K-GA ที่เหมาะสมจะเป็นสัดส่วนเงินลงทุนหลัก สำหรับนักลงทุนระยะยาว เพราะมีการกระจายการลงทุนหลากหลายสินทรัพย์ทั่วโลก


ส่งผลต่อตราสารหนี้อย่างไร

การที่ Bond Yield สหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้ Bond Yield อีกหลายประเทศปรับตัวขึ้นตาม ผลที่ตามมาคือ ราคาตราสารหนี้ปรับตัวลดลง ดังนั้น ราคา NAV ของกองทุนตราสารหนี้จึงปรับตัวลงเช่นกัน ซึ่งต่างไปจากความเข้าใจของนักลงทุนบางท่าน ที่เข้าใจว่า การลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ ผลตอบแทนไม่มีวันติดลบ แต่ในความเป็นจริง ราคาตราสารหนี้มักเคลื่อนไหวตรงข้ามกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยตลาด โดยเมื่อดอกเบี้ยตลาดปรับตัวขึ้นราคาตราสารหนี้จะปรับตัวลง ซึ่งจะกระทบกับนักลงทุนเดิมที่ถืออยู่ ส่วนคนที่กำลังจะลงทุนใหม่ ก็จะได้ประโยชน์จากราคาตราสารหนี้เดิมที่ลดลง หรือดอกเบี้ยที่สูงขึ้นของตราสารหนี้ที่ออกใหม่

คำแนะนำ สำหรับกองทุนตราสารหนี้


สำหรับผู้ที่ถืออยู่ระยะสั้นอาจมีความผันผวนบ้าง แต่แนะนำให้ถือจนครบอายุเฉลี่ยของตราสารหนี้ที่กองทุนลงทุนอยู่ (portfolio duration) หรือถือตามระยะเวลาที่ บลจ. แนะนำ
สำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนใหม่หรือลงทุนเพิ่มแนะนำลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ตามระยะเวลาที่ต้องการพักเงิน หรือใช้เงิน เช่น หากต้องการพักเงินในกองทุนตราสารหนี้ 3 เดือนขึ้นไป ขอแนะนำกองทุน K-SFPLUS ทั้งนี้สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ตามตารางด้านล่าง

.