Display mode (Doesn't show in master page preview)
Turn on more accessible mode
Skip Ribbon Commands
Skip to main content
Turn off Animations

EP. 3 THE WISDOM WEALTH DECODED

EP. 3 THE WISDOM WEALTH DECODED

​​สรุปประเด็นร้อนงานสัมมนาออนไลน์ THE WISDOM WEALTH DECODED
ฟังมุมมอง เทคนิค กลยุทธ์จากผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน ​
หัวข้อ "จับชีพจรตลาดหุ้นไทย Sector ไหนมาวิน"

​ตลาดหุ้นไทยหมดเสน่ห์แล้วจริงหรือ? งานสัมมนาออนไลน์  THE WISDOM​ หัวข้อ “จับชีพจรตลาดหุ้นไทย Sector ไหนมาวิน” จัดโดยธนาคารกสิกรไทย ได้ให้คำตอบไว้ชัดเจนว่าตลาดหุ้นไทยยังไม่ถึงกับหมดเสน่ห์และยังมีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้ดีในช่วงครึ่งปีหลังอีกด้วย

ตลาดหุ้นไทย ม้ามืดตัวจริง

        ธิดาศิริ ศรีสมิต,CFA Chief Investment Officer  บลจ.กสิกรไทย กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยช่วงที่ผ่านมาถือว่าให้ผลตอบแทนที่ดี ชนิดที่เรียกว่าเป็นม้ามืดจากเดิมที่คาดว่าตลาดหุ้นต่างประเทศจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า โดยเทียบกับดัชนี MSCI World ตลาดหุ้นไทยสามารถสร้างผลตอบแทนได้ 11%  ทั้งที่หลายมุมมองต่างพูดตรงกันว่าเศรษฐกิจไทยเติบโตถดถอย จากเดิมปีนี้คาดว่าจะเติบโตได้ 3.5 - 4% ถูกปรับลดลงมาเหลือเติบโตเพียง 2% เพราะเศรษฐกิจไทยผูกติดกับการท่องเที่ยวค่อนข้างมาก 

        “ปีที่แล้วเราคาดหวังกันว่านักท่องเที่ยวจะเริ่มกลับเข้ามาในระดับ 6 ล้านคน แต่ตอนนี้ต้องมาลุ้นว่าจะสามารถมาได้ถึง 1 ล้านคนหรือไม่ โดยหากสามารถเริ่มเปิดประเทศได้ในครึ่งปีหลังก็พอที่จะมีนักท่องเที่ยวเข้ามา 500,000 ถึง 1 ล้านคนซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างมาก”

        การที่ภาคท่องเที่ยวของไทยยังไม่ฟื้นตัวแต่ตลาดหุ้นกลับฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง นั่นเป็นเพราะผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนไทยยังถือว่าทำผลงานได้ดี นับตั้งแต่ไตรมาสที่สี่ของปีที่แล้วจนถึงไตรมาสที่หนึ่งปีนี้ งบที่ออกมาถือได้ว่าดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้คิดเป็นสัดส่วน 70% มีเพียงแค่บางกลุ่มเท่านั้นที่ผลประกอบการยังไม่ฟื้นตัว


จับตาตลาดหุ้นครึ่งปีหลั​ง เมื่ออัตราการฉีดวัคซีนทำได้ต่อเนื่อง

         “สำหรับแนวโน้มในช่วงครึ่งปีหลัง บลจ.กสิกรไทย มองเป้าหมาย SET Index ที่ระดับ 1,650 จุด ซึ่งถือว่ายังมีอัพไซด์ไม่มากไปกว่าระดับปัจจุบันมาก แต่มีประเด็นต้องติดตาม คือ อัตราการฉีดวัคซีนป้องกัน COVID-19 ที่ทำได้อย่างต่อเนื่อง หากรักษาระดับดังนี้ไว้ได้ ปลายปีนี้ก็จะสามารถฉีดวัคซีนได้ครอบคลุมถึง 70% ของประชากรได้ภายในปลายปีนี้ ”

        อย่างไรก็ตามยังต้องติดตามปัจจัยในต่างประเทศโดยเฉพาะการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ เริ่มที่จะมีแนวคิดปรับลดการทำ QE ลงซึ่งตลาดคาดว่า FED จะเริ่มออกมาส่งสัญญาณในช่วงปลายปีนี้ แต่ช่วงที่ผ่านมาอัตราเงินเฟ้อปรับตัวขึ้นเร็ว และ แรงพอสมควร รวมถึงสินค้าโภคภัณฑ์ต่าง ๆ อย่างเช่น น้ำมันที่ปรับตัวขึ้นกว่า 40% ตั้งแต่ต้นปี จึงต้องจับตาว่าราคาสินค้าโภคภัณฑ์จะยังพุ่งขึ้นอีกหรือไม่

        มุมมองของ บลจ.กสิกรไทย มีความกังวลเล็กน้อยต่อภาวะเงินเฟ้อและสินค้าโภคภัณฑ์ คาดว่าครึ่งปีหลังจะเริ่มคลายความกดดันในประเด็นดังกล่าวลง โดยหากประเทศไทยเริ่มมีการเปิดเมืองอย่างต่อเนื่อง ดัชนี SET Index น่าจะเติบโตได้มากกว่าตัวเลขที่คาดการณ์ไว้ที่ 1,650 จุด โดยหุ้นกลุ่มมาร์เกตแคปใหญ่จะเป็นตัวนำตลาดต่างจากครึ่งปีแรกที่เป็นหุ้นขนาดกลาง


ผลตอบแทนตลาดหุ้นไทย เป็นไปในทิศทางไหนหลังโควิดคลี่คลาย
        เปรมสุข ชลทานวาณิชย์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บมจ.หลักทรัพย์กสิกรไทย กล่าวว่าผลตอบแทนตลาดหุ้นไทยตั้งแต่ปี 2561 เป็นต้นมาถือได้ว่าส่วนใหญ่จะให้ผลตอบแทนติดลบมาโดยตลอด โดยสองปีหลังนี้ยังไม่สามารถฟื้นตัวกลับไปอยู่ในระดับก่อนเกิด COVID-19 ทว่าตั้งแต่ปี 2564 เป็นต้นมาผลตอบแทนตลาดหุ้นไทยเริ่มปรับตัวดีขึ้น แม้จะยังสร้างผลตอบแทนได้ไม่ดีเท่าตลาดหุ้นอื่น โดยดัชนีที่สร้างผลตอบแทนดีที่สุดหลัง COVID-19 ก็คือ
    • ดัชนี NASDAQ ทำได้ 53.14% 
    • ดัชนี S&P500 ที่ 30.76% 
    • ตลาดหุ้นจีนอยู่ที่ 16.56% 
    • SET Index เพิ่งจะทำผลตอบแทนได้ 1% (นับจนถึงวันที่ 4 มิถุนายน 2564) 

        หากนับผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปี 2562 ซึ่งเป็นช่วงก่อนที่จะเกิด COVID-19 ตลาดหุ้นไทยยังอยู่ในช่วงไซด์เวย์ออกข้าง ขณะที่ตลาดหุ้นต่างประเทศสร้างผลตอบแทนได้ดี 
    • ดัชนี NASDAQ ทำได้  104.99%
    • ดัชนี S&P500 ที่ 67.06% 
    • ตลาดหุ้นจีนอยู่ที่ 42.95%
    • SET Index เพิ่งจะทำผลตอบแทนได้ 2.13%

        แต่หากนับผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปี 2564 นี้ ตลาดหุ้นไทยสร้างผลตอบแทนได้ 11.19% สูงกว่าตลาดหุ้นจีน และ แพ้ดัชนี S&P500 ไปเล็กน้อยเท่านั้น ถือได้ว่าเรากำลังอยู่ในช่วงของการเร่งตัวขึ้นแล้วและเริ่มมีเสน่ห์ในตัวเอง



        “ในเชิงกราฟเทคนิคระดับสัปดาห์ ตลาดหุ้นไทยเป็นขาลงอยู่ก่อนที่จะเกิด COVID-19 อยู่แล้วก่อนจะปรับตัวขึ้นอย่าช้า ๆ ค่อย ๆ สร้างฐาน จนกระทั่งสามารถผ่านแนวต้านสำคัญที่ระดับ 1,456 จุด ทำให้ SET Index มีแนวโน้มแบบไซด์เวย์อัพขึ้นแบบช้า ๆ หากแนวโน้มยังเป็นแบบนี้ คาดว่าน่าจะสามารถสร้างจุดสูงสุดใหม่ได้อย่างต่อเนื่อง และ อัพไซด์ด้านบนยังมีโอกาสอีกมาก โดยกราฟระดับรายวัน MACD ยังอยู่ในทิศทางเป็นบวกอย่างต่อเนื่อง มีแนวต้านระยะสั้นอยู่ที่ระดับ 1,650 จุด ถ้ามีแรงขายลงมาก็สามารถที่จะเข้าไปซื้อได้ โดยมีเป้าหมายในปีนี้ที่แถว ๆ 1,680 - 1,700 จุด


มองกลุ่มธนาคาร ไฟแนนซ์ ชิ้นส่วนอีเล็กทรอนิกส์และคอมเมิร์ซ น่าสนใจ

        บลจ.กสิกรไทย ให้มุมมองเพิ่มเติมเกี่ยวกับแต่ละเซคเตอร์ในตลาดหุ้นไทยโดยมองว่ากลุ่มที่มีศักยภาพรับกับธีมการเปิดเมือง ก็คือ พลังงาน ธนาคาร เฮลธ์แคร์ และ กลุ่มสื่อสารที่ราคายัง Laggard ค่อนข้างมาก โดยกลุ่มที่ให้น้ำหนักการลงทุนมากที่สุด คือ ธนาคาร เนื่องจากดาว์นไซด์ค่อนข้างจำกัด ราคาไม่ได้แพงมาก และ ยังเป็นตัวแทนของเศรษฐกิจ หากเศรษฐกิจดีขึ้น หุ้นกลุ่มธนาคารก็จะปรับตัวดีขึ้น ส่วนกลุ่มที่อยู่ใน Quality Growth ที่จะมีอัตรากำไรเติบโตได้ดีในปีนี้ และ ปีหน้าระดับ 20% ขึ้นไป โดยมีกลุ่มคอมเมิร์ซ ไฟแนนซ์ และ ชิ้นส่วนอีเล็กทรอนิกส์

เมื่อดัชนีตลาดหุ้นไทยเริ่มขึ้นมาสูงมากอาจจะเริ่มมีความผันผวนเกิดขึ้นมาก

        ขณะที่บลจ.กสิกรไทย มองว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยเริ่มขึ้นมาสูงมากอาจจะเริ่มมีความผันผวนเกิดขึ้น จึงมองหาหุ้นในกลุ่มที่ยังปรับตัวขึ้นน้อยกว่ากลุ่มอื่น ๆ แต่มีศักยภาพในเชิงของกราฟเทคนิค อย่างเช่น 

    • กลุ่ม SSET หรือหุ้นกลุ่มที่อยู่นอก SET100 เช่น กลุ่มเหล็ก และ เดินเรือ สร้างผลตอบแทนได้ถึง 45.03% กลุ่มนี้ทำให้เกิดสภาพคล่องซื้อขายในตลาดหุ้นไทยแต่ต้องระวังความผันผวนในระดับสูง
    • หุ้นในกลุ่ม SET50 ยังแทบไม่ปรับตัวขึ้นเลยโดยยังให้ผลตอบแทนติดลบ 9% จึงมีความน่าสนใจในการเข้าลงทุน

        หากเจาะลึกลงไปในรายอุตสาหกรรมจะพบว่าหุ้นกลุ่มธนาคารแทบจะไม่ได้ปรับตัวขึ้นเลย ตามมาด้วยกลุ่มสื่อสาร และ อสังหาริมทรัพย์ พลังงาน ซึ่งหุ้นกลุ่มดังกล่าวส่วนใหญ่อยู่ใน SET50 เท่ากับว่ายังมีศักยภาพในการปรับตัวขึ้นได้ โดยกลุ่มธนาคารในเชิงเทคนิคมีการย่อตัวลงมาในแนวรับสำคัญหากยังสามารถยืนระดับนี้ได้ก็จะสามารถปรับตัวขึ้นต่อไปได้

        ในขณะที่กลุ่มสื่อสารยังแทบไม่ปรับตัวขึ้นเพราะไม่มีปัจจัยบวกใด ๆ มาสนับสนุน ดาวน์ไซด์ด้านล่างค่อนข้างจำกัด โอกาสจะปรับตัวขึ้นก็ยังไม่มี ส่วนกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ค่อย ๆ ปรับตัวขึ้น แต่มีหุ้น CPN ซึ่งได้รับผลกระทบหนักรวมอยู่จึงทำให้ทั้งกลุ่มยังไปได้ไม่มากนัก แต่กลุ่มสร้างที่อยู่อาศัยแม้ภาพเชิงเทคนิคจะขึ้นมาเยอะแล้วแต่ยังพอที่จะไปต่อได้ ด้านกลุ่มพลังงานถือว่าไม่ได้ผลกระทบจาก COVID-19 มากนัก และ กลุ่มโรงไฟฟ้ายังมีการลงทุนใหม่อย่างต่อเนื่อง ขณะที่กลุ่มค้าปลีกสามารถปรับตัวขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง ถ้าหากมีการเปิดเปิดเมืองก็น่าจะปรับตัวขึ้นได้อีก 

“ถ้าจะเลือกเซกเตอร์ที่น่าสนใจที่สุด ก็คือ พลังงานสายโรงไฟฟ้า รองลงมาคือ ธนาคารที่น่าจะกลับมาเติบโตได้ตามเศรษฐกิจ สุดท้ายคือ กลุ่มค้าปลีกขนาดใหญ่”

        สำหรับผู้สนใจลงทุนในกองทุนรวมที่ลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีโอกาสเติบโต ทางบลจ.กสิกรไทยมีกองทุนที่ลงทุนในเซกเตอร์อย่าง K-BANKING, K-ENERGY และ  K-ICT หรือ จะเป็นกองทุนที่มีผู้จัดการกองทุนปรับพอร์ตให้อย่าง K-STAR ซึ่งมีทั้งรูปแบบ Auto Redemption คืนผลตอบแทนให้ผู้ลงทุนทุก ๆ 10% หรือ จะเลือกแบบ Re-Invest ไปได้เรื่อย ๆ เช่นกัน
       ขณะที่หุ้นที่น่าสนใจในการลงทุนครึ่งปีหลัง บล.กสิกรไทย สนใจหุ้นกลุ่ม PTT รวมถึงโรงไฟฟ้าอย่าง GPSC กลุ่มธนาคารเลือก BBL และ กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ค้าปลีก นั่นคือ CPN จากราคาที่ยังปรับตัวไม่สูงมากนัก




กลับ