สรุปประเด็นร้อนงานสัมมนาออนไลน์ THE WISDOM WEALTH DECODED
ฟังมุมมอง เทคนิค กลยุทธ์จากผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน
หัวข้อ "เมื่อเอเชียผงาด คว้าโอกาสทำกำไร"
ทวีปเอเชียถือเป็นภูมิภาคที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่โดดเด่นโดยเฉพาะประเทศจีนที่สามารถพลิกฟื้นเศรษฐกิจได้ในท่ามกลางการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ถือเป็นโอกาสทองในการลงทุนด้วยเช่นกัน งานสัมมนาทางออนไลน์ THE WISDOM WEALTH DECODED กับหัวข้อ “เมื่อเอเชียผงาดเร่งคว้าโอกาสทำกำไร” จัดโดยธนาคารกสิกรไทยได้ชี้แนะแนวทางการลงทุนในเอเชียโดยเฉพาะจีนไว้อย่างน่าสนใจ
เศรษฐกิจเอเชียเติบโตสูงสุด
นาวิน อินทรสมบัติ Chief Investment Officer บลจ.กสิกรไทย กล่าวว่า ตั้งแต่เดือนมีนาคมปี 2563 ที่ผ่านมาหลังจากเกิดการระบาดของไวรัส COVID-19 ภาคเศรษฐกิจโลกได้เติบโตขึ้นมาแบบ V Shape โดยดัชนีภาคการผลิตทั่วโลกเติบโตขึ้น 70% โดยเฉพาะสหรัฐฯ ที่เติบโตสูงสุดในรอบ 7 ปีก่อนการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดเสียอีก
โดยนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเติบโตได้ 5.5% ในปีนี้ ขณะที่เศรษฐกิจยุโรปเติบโต 5% ส่วนภูมิภาคเอเชียน่าจะเติบโตที่สุด คือ 7.6% หากลงรายละเอียดไปจะเป็นประเทศจีนที่เติบโตมากที่สุด 8% ส่วนอินเดียอยู่ที่ 9.8%
“จีนเป็นประเทศแรกที่ฟื้นตัวจากโควิดได้ในไตรมาสที่สามของปีที่แล้ว และยังเป็นหนึ่งในสองประเทศของโลกร่วมกับไต้หวัน ที่เศรษฐกิจไม่ติดลบ ทำให้เอเชียยังเป็นตัวชี้วัดการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกได้อย่างดีจากการเป็นฐานการผลิต หรือ ฐานผู้บริโภค”
|
กลุ่มเทคฯ ในเอเชีย ยังน่าลงทุน
ปริวรรฒน์ ธีระดุสิตศิลป์ รองผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาการให้คำปรึกษาลูกค้า K-Expert ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์เกาหลีสามารถขึ้นมาสร้างจุดสูงสุดใหม่ได้ โดยได้รับแรงสนับสนุนจากบริษัทซัมซุงซึ่งได้รับประโยชน์จากการผลิตสินค้าอีเล็กทรอนิกส์ที่มีความต้องการเข้ามาในช่วง COVID-19 ส่วนภาพรวมเศรษฐกิจของเกาหลีเริ่มที่จะควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดได้อย่างดีทำให้มีโอกาสที่จะเห็นการเติบโตในปีนี้
หากสนใจการลงทุนในตลาดหุ้นเอเชีย กองทุนรวมน่าจะเป็นหนึ่งในทางเลือกที่น่าสนใจ โดยธนาคารกสิกรไทยมีการแนะนำกองทุน K-ATECH
- เน้นลงทุนบริษัทเทคโนโลยีในฝั่งเอเชีย เหมาะสมกับนักลงทุนที่อยากลงทุนในบริษัทเติบโตสูง หรือ Growth Stock
- เน้นลงทุนบริษัททางด้านอีคอมเมิร์ซซึ่งมีโอกาสเติบโตสูงในภาวะการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด
- แม้การระบาดจะจบลงแต่การลงทุนในเรื่องอีคอมเมิร์ซ โดยเฉพาะเกมส์ออนไลน์หรือ E-Sport ซึ่งเป็นกีฬาที่เติบโตอย่างมากขณะเดียวกันยังมีการลงทุนในอุตสหากรรมการผลิตพวกชิปประมวลผลซึ่งมีความต้องการเข้ามาอย่างมากและน่าจะเติบโตได้อีก 1 - 2 ปี
- การลงทุนในกลุ่มผู้ผลิตชิ้นส่วนสมาร์ทโฟน ก็กำลังเป็นที่น่าสนใจเพราะได้กลายมาเป็นปัจจัยที่ห้าในชีวิตไปแล้วและสมาร์ทโฟนยังมีการเปลี่ยนแปลงเร็ว บางคนเปลี่ยนปีต่อปี ความต้องการใช้งานยังมีเข้ามาต่อเนื่อง
“บริษัทที่กองทุนเข้าไปลงทุนอย่าง Tencent ซึ่งเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่จากจีนที่ทำธุรกิจเกมส์ออนไลน์ซึ่งเติบโตได้แม้เกิดวิกฤติ หรือ บริษัทผลิตชิปอันดับหนึ่งของเอเชีย นั่นคือ Taiwan Semi Conductor (TSMC) และ บริษัท Samsung ผู้ผลิตชิปรายใหญ่อันดับสอง นอกจากนี้ยังมีบริษัท Nintendo ผู้ผลิตเกมส์รายใหญ่ของโลก และ SEA Group ผู้ถือหุ้นของ Shopee อีคอมเมิร์ซรายใหญ่ของเอเชีย” ประเด็นสำคัญ คือ บริษัทเทคโนโลยีของเอเชียตอนนี้ราคาไม่ได้แพงมากเมื่อเทียบกับฝั่งสหรัฐฯ ที่มีค่าพีอีอยู่ที่ 20 - 30 เท่า แต่อย่างไรก็ตามความเสี่ยงของการลงทุนในกลุ่มนี้ คือ หุ้นเทคโนโลยีมักมีความผันผวนค่อนข้างสูง
|
อีกทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่อยากลงทุนในเอเชีย แต่ไม่อยากเผชิญกับความผันผวนสูง นั่นคือ K-ASIACV
- เป็นการลงทุนในบริษัทชั้นนำของเอเชีย
- เป็นกองทุนที่ บลจ.กสิกรไทยมีกลไกการควบคุมดูแลความผันผวนของกองทุน
- เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการกระจายอุตสาหกรรมเพื่อลดความเสี่ยงได้เป็นอย่างดี
เศรษฐกิจจีนฟื้นตัวเร็วอย่างมีเสถียรภาพ น่าเข้าลงทุนระยะยาว
นาวิน อินทรสมบัติ Chief Investment Officer บลจ.กสิกรไทย เสริมว่าภาพของเศรษฐกิจโลกในตอนนี้แม้จะชัดเจนว่ามีการฟื้นตัว อย่างไรก็ตามยังมีบางกลุ่มอุตสาหกรรมที่ยังไม่ได้ฟื้นตัวมากนัก สามารถเป็นทางเลือกในการลงทุนนอกเหนือจากกลุ่มเทคโนโลยีที่ฟื้นตัวเร็วและมีราคาขึ้นมาสูง ซึ่งหุ้นแวลูอย่างธนาคารและพลังงานรวมถึงสินค้าโภคภัณฑ์ยังตามหลังหุ้นเทคโนโลยีอยู่มาก
“เป็นไปได้ว่าวิกฤตรอบนี้เศรษฐกิจจะฟื้นตัวได้เร็วเกินคาด จากการที่ธนาคารกลางทั่วโลกได้อัดฉีดสภาพคล่องเข้ามาหนุนเศรษฐกิจ โดยธนาคารกลางสหรัฐฯ จะยังไม่มีการเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเร็ว ๆ นี้อย่างแน่นอน ช่วงเวลานี้จึงเป็นเวลาในการปรับพอร์ตไปยังหุ้นที่ผลประกอบการปรับตัวดีขึ้นสามารถลงทุนได้ใน 2 - 3 ปีข้างหน้า”
ขณะที่มุมมองที่มีต่อเศรษฐจีนนอกจากจะฟื้นตัวจาก COVID-19 ได้ก่อนใครในโลกแล้วและจำนวนผู้ที่ติดเชื้อมีสัดส่วนน้อยมากเมื่อเทียบกับจำนวนประชากรทั้งหมด แต่สิ่งที่สำคัญ คือ จีนกำลังเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจใหม่ที่ดูดีขึ้นมากจากการที่มีการบริโภคและบริการสัดส่วนมากกว่า 50%
แผนเศรษฐกิจห้าปีจากนี้จะมาจากการบริโภคที่ยั่งยืน ระดับของกระจายรายได้ทำได้ดี คนจีนที่เป็นชนชั้นกลางมีถึง 600 ล้าน และ อีก 10 ปีข้างหน้าจะมีถึง 900 ล้าน และ จะเกิดชุมชนเมืองมากขึ้น ปัจจุบันบริษัทจดทะเบียนของจีนมีอัตราของการเติบโตของกำไรสุทธิมากขึ้นแต่ค่าพีอียังถูกมากกว่าเมื่อเทียบกับตลาด NASDAQ ที่ค่าพีอี อยู่ที่ 30 เท่า ส่วนตลาดหุ้นจีนอยู่ที่ 18 เท่า
“หุ้นจากบริษัทจีนที่มีสัดส่วนอยู่ในตลาดหุ้นโลกมีเพียงแค่ 5% แต่เศรษฐกิจจีนมีสัดส่วนเทียบกับทั้งโลก 17% จึงมีโอกาสที่ตัวเลขดังกล่าวจะเพิ่มขึ้น นักลงทุนต่างชาติที่ลงทุนหุ้นจีนยังน้อย จึงเป็นโอกาสที่จะสามารถเข้าลงทุนได้ในระยะยาว 5 - 10 ปี รัฐบาลจีนมีความจริงจังในการทำให้ได้ตามเป้าหมาย”
|
ทางเลือกลงทุนในจีนที่น่าจับตา
ด้าน ปริวรรฒน์ ธีระดุสิตศิลป์ รองผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาการให้คำปรึกษาลูกค้า K-Expert ธนาคารกสิกรไทย ได้แนะนำกองทุนที่ลงทุนในจีน 2 กองได้แก่
- K-CHINA นโยบายลงทุนใน JPMorgan China Fund เน้นลงทุนบริษัท New Economy ในด้านดิจิทัลและ Health Care สามารถลงทุนได้ทั้ง A Share,H Share และ NDR หุ้นที่ลงทุนอย่างเช่น Alibaba ยักษ์ใหญ่ทางด้านอีคอมเมิร์ซ และ Tencent รวมถึง Pingan บริษัทประกันอันดับสามของโลก โดยกองทุนนี้จะเน้นนักลงทุนที่รับความผันผวนได้
- K-CCTV จะมีการใช้โมเดลควบคุมความผันผวนเข้ามาด้วยเน้นลงทุนใน A Share ซึ่งจดทะเบียนในจีนเน้นกลุ่มอุปโภคบริโภคเป็นหลัก ธรรมชาติของหุ้น A Share จะมีความผันผวนสูงเพราะนักลงทุนส่วนใหญ่ในจีนจะเป็นรายย่อย