Display mode (Doesn't show in master page preview)
Turn on more accessible mode
Skip Ribbon Commands
Skip to main content
Turn off Animations

EP. 1 THE WISDOM WEALTH DECODED

EP. 1 THE WISDOM WEALTH DECODED

​​​​​​​​​​​สรุปประเด็นร้อนงานสัมมนาออนไลน์ THE WISDOM WEALTH DECODED
ฟังมุมมอง เทคนิค กลยุทธ์จากผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน 
หัวข้อยอดฮิต "Sell In May 2021จะเกิดขึ้นจริงหรือไม่? และ จะวางแผนรับมืออย่างไร?"

        ทุกเดือนพฤษภาคมของทุกปี นักลงทุนจะต้องพูดถึงทฤษฎีที่เรียกว่า Sell In May หรือปรากฎการณ์ที่ตลาดหุ้นทั่วโลกจะปรับตัวลง แล้วในปีนี้ Sell In May จะเกิดขึ้นหรือไม่และจะปรับพอร์ตรับมืออย่างไร งานสัมมนาออนไลน์ THE WISDOM Wealth Decoded EP.1 Sell In May 2021 คว้าโอกาสปรับพอร์ตโตทันกระแส ที่จัดขึ้นโดย เดอะวิสดอมกสิกรไทย เมื่อวันพุธที่ 28 เมษายนที่ผ่านมา ได้ให้คำตอบเอาไว้อย่างชัดเจน

Sell in May ปีนี้ จะเกิดไหม?


        กวี ชูกิจเกษม รองกรรมการผู้จัดการ บมจ.หลักทรัพย์กสิกรไทย ได้ให้ข้อมูลไว้ว่าสถิติย้อนหลังกลับไป 12 ปีตั้งแต่ปี 2009 
  • ตลาดหุ้นไทยจะให้ผลตอบแทนที่เป็นลบเฉลี่ยอยู่ที่ 0.23% และ ปรับตัวลงถึง 8 ปี 
  • ตลาดหุ้นสหรัฐฯจะให้ผลตอบแทนติดลบเฉลี่ย 0.21% 
  • สิ่งที่น่าสนใจคือแม้ตลาดหุ้นสหรัฐฯจะปรับตัวขึ้นถึง 8 ปีแต่ค่าเฉลี่ยออกมาติดลบก็เพราะปีที่มีการปรับฐานมักจะลงแรงประมาณ 6-7%

         นอกจากนี้ค่าเงินบาทมักจะอ่อนค่าเสมอในเดือนพฤษภาคมเพราะในช่วงไตรมาสที่สองมักจะเป็น Low Season ของเศรษฐกิจไทย รวมถึงเป็นช่วงเวลาที่บริษัทจดทะเบียนไทยมีการจ่ายปันผลกองทุนรวม และ นำเงินปันผลที่ได้ส่งกลับไปยังต่างประเทศ
  • Sell In May เป็นเพียงปรากฎการณ์ชั่วคราวหรือ Seasonal Effect เท่านั้น 
  • ปีนี้คาดว่าจะเกิดขึ้นทั้งกับตลาดหุ้นไทยและตลาดหุ้นสหรัฐฯ เหตุเพราะตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวขึ้นสร้างจุดสูงสุดใหม่ต่อเนื่องทำให้ราคาค่อนข้างแพง 
  • การที่ประเทศไทยมีการ Lockdown ขึ้นในไตรมาสสองอาจทำให้ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนปรับลดลง ทำให้อาจไม่มีแรงซื้อเข้ามาโดยเฉพาะนักลงทุนต่างชาติ




        ขณะที่ ปริวรรฒน์ ธีระดุสิตศิลป์ ผู้บริหารงานส่งเสริมการลงทุนลูกค้า ธนาคารกสิกรไทย ให้มุมมองว่า Sell in May มีโอกาสเกิดกับตลาดหุ้นอื่นทั่วโลกไม่เพียงแต่ประเทศไทย โดยตลาดหุ้นไทยมีโอกาสความน่าจะเป็น 60% ประเทศอื่น 50% และ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ 33% เหตุผลที่ทำให้คิดได้ว่าจะเกิดปรากฎการณ์ Sell In May  คือ

  • ตลาดหุ้นไทยยังไม่เกิดการปรับฐานอย่างจริงจังนับตั้งแต่เกิดการระบาดของโรคโควิดเป็นต้นมา 
  • ตลาดหุ้นสหรัฐฯมีค่า P/E อยู่ที่ 23 เท่าในตอนนี้ ถือว่าค่อนข้างแพงเมื่อเทียบกับสถิติในอดีต 
  • มีโอกาสที่เงินเฟ้อจะปรับตัวสูงขึ้นซึ่งจะกระทบไปยัง Bond Yield ของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่จะปรับตัวขึ้นตาม
  • การที่โควิดทั่วโลกกลับมาระบาดรอบใหม่อีกครั้ง

        ​อย่างไรก็ตามหากมองระยะยาวช่วงเวลานี้ถือเป็นช่วงที่เศรษฐกิจทั่วโลกกำลังฟื้นตัว หุ้นยังคงเป็นสินทรัพย์การลงทุนที่น่าสนใจ ในระยะสั้นหากเกิด Sell In May ขึ้นคือโอกาสในการเพิ่มพอร์ตลงทุนในหุ้น โดยตลาดที่น่าสนใจ คือ ตลาดหุ้นจีนซึ่ง P/E ยังไม่แพงมากเพียงแค่ 14 เท่า ถือว่ายังสมเหตุสมผล และ คาดว่าเศรษฐกิจจีนในปีนี้น่าจะโตได้ถึง 6% และ อาจจะโตได้ถึง 8% และ ภายในสามถึงห้าปีข้างหน้ายังจะโตได้เฉลี่ยปีละ 5% ส่วนประเด็นที่รัฐบาลจีนเข้ามาควบคุมบริษัทเทคโนโลยีของจีนรวมถึงการที่สหรัฐฯ ถอดบริษัทจีนออกจากตลาดหุ้นเป็นเพียงแค่ปัจจัยระยะสั้นเท่านั้น

       

​นักลงทุน ต้องเตรียมรับมืออย่างไรดี?
        กวี ปิดท้ายว่าปรากฎการณ์ Sell In May เป็นเพียงแค่ปัจจัยระยะสั้น ตลาดหุ้นไทยน่าจะปรับตัวลดลงไม่เกิน 1 - 2% เท่านั้น อาจใช้เป็นจังหวะในการสะสมเพิ่มได้  ส่วนตลาดหุ้นอื่นที่น่าสนใจคือกลุ่มประเทศเกิดใหม่ หรือ Emerging Market โดยเฉพาะตลาดหุ้นจีนเนื่องจากตลาดหุ้นฝั่งตะวันตกค่อนข้างที่จะแพงไปแล้ว ขณะที่ ปริวรรตน์ กล่าวปิดท้ายว่าไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนพอร์ตลงทุนเพราะคาดว่าในเดือนถัดไปตลาดหุ้นไทยน่าจะกลับมาเป็นบวกอีกครั้ง โดยครึ่งปีหลังการส่งออกของไทยน่าจะดีขึ้นและวัคซีนน่าจะกระจายได้มากขึ้น ตลาดหุ้นไทยน่าจะปรับตัวเชิงบวกนำไปก่อนล่วงหน้า


กลับ