Display mode (Doesn't show in master page preview)
Turn on more accessible mode
Skip Ribbon Commands
Skip to main content
Turn off Animations

“Smart Beta” การลงทุนแบบ Smart

“Smart Beta” การลงทุนแบบ Smart

​​​​“Smart Beta” การลงทุนแบบ Smart​

หลายคนอาจสงสัยว่า ระหว่าง Active fund กับ Passive fund ควรเลือกลงทุนแบบไหน เพราะกองทุนทั้ง 2 ประเภท มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันในหลายด้าน

​หัวข้อ
Active fund​
Passive fund
ผลตอบแทนคาดหวัง
​มากกว่าดัชนีชี้วัด
​ใกล้เคียงดัชนีชี้วัด
​กลยุทธ์การลงทุน
​คัดเลือกหลักทรัพย์ตามมุมมองของผู้จัดการกองทุน
​ลงทุนในสัดส่วนที่เลียนแบบดัชนี
​ต้นทุนการบริหารจัดการ
​สูง
​ต่ำ
ค่าธรรมเนียม
สูง
ต่ำ​

แต่ก็ยังมีวิธีลงทุนอีกทางเลือก ที่รวมข้อดีของกองทุนทั้ง 2 ประเภทไว้ เรียกว่า “Smart Beta”

การลงทุนแบบ Smart Beta 
คือ การลงทุนอย่างเป็นระบบที่มุ่งเน้นให้ผลตอบแทนเมื่อเทียบกับความเสี่ยงสูงกว่าการลงทุนเชิงรับทั่ว ๆ ไป  ช่วยลดต้นทุน และ ลดความผิดพลาดที่อาจเกิดจากการตัดสินใจของผู้จัดการกองทุน รวมกับข้อดีของการลงทุนเชิงรุกในแง่การมุ่งเน้นสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าดัชนีชี้วัดที่คำนวณโดยใช้มูลค่าตลาด แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ดังนี้

1.  Fundamental Smart Beta หรือ การนำปัจจัยพื้นฐานมาใช้เป็นเกณฑ์ในการกำหนดน้ำหนัก และ คัดเลือกหลักทรัพย์ที่จะลงทุน โดยปัจจัยพื้นฐานอาจเป็นปัจจัยในระดับมหภาค เช่น อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจ ยอดดุลงบประมาณ หรือ อาจเป็นปัจจัยในระดับจุลภาค เช่น เงินปันผล, กระแสเงินสด หรือ ยอดขายสินค้า 
2. Risk-based Smart Beta หรือ การนำปัจจัยด้านความเสี่ยง (Risk) มาใช้เป็นเกณฑ์ในการกำหนดน้ำหนัก และ คัดเลือกหลักทรัพย์ที่จะลงทุน เพื่อสร้างพอร์ตการลงทุนที่มีความเสี่ยงโดยรวมต่ำที่สุด และ มีผลตอบแทนที่สม่ำเสมอกว่าการลงทุนแบบทั่ว ๆ ไป

ตัวอย่างกลยุทธ์ของ Smart Beta ที่เรียกว่า Minimum Volatility หรือ กลยุทธ์ความผันผวนต่ำที่สุด ซึ่ง Minimum Volatility ใช้หลักการบริหาร คือ การเลือกหุ้น และ กำหนดสัดส่วนการลงทุนที่เหมาะสมที่จะทำให้พอร์ตการลงทุนมีความผันผวนของผลตอบแทน (Standard Deviation) ต่ำที่สุด ซึ่งช่วยให้เวลาที่ตลาดหุ้นผันผวน กลยุทธ์แบบ Minimum Volatility มักจะปรับลงน้อยกว่าโดยเปรียบเทียบ ​​



กลับ