Display mode (Doesn't show in master page preview)
Turn on more accessible mode
Skip Ribbon Commands
Skip to main content
Turn off Animations

สหรัฐฯ สั่งคุมเข้มนโยบายการเงิน ท้าทายการเติบโตเศรษฐกิจจีน ต้องจับตาผลกระทบต่อไทย

สหรัฐฯ สั่งคุมเข้มนโยบายการเงิน ท้าทายการเติบโตเศรษฐกิจจีน ต้องจับตาผลกระทบต่อไทย

​​​สหรัฐฯ คุมเข้มนโยบายการเงิน


เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมาสหรัฐฯ ได้ส่งสัญญาณคุมเข้มนโยบายการเงินมากขึ้น แม้เศรษฐกิจในตอนนี้ดูเป็นไปในทิศทางของการเติบโตจนมีประกาศจะปรับลดงบดุลลงนั้น แต่สถานการณ์เงินเฟ้อภายในยังคงเร่งสูงอย่างต่อเนื่องแม้จะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยไปแล้วกว่า 2 ครั้ง จึงทำให้คาดการณ์ว่าการคุมเข้มด้านนโยบายนี้จะยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง และ อัตราดอกเบี้ยตอนสิ้นปีจะอยู่ที่ 2.75 – 3.000% 


จีนกลับมาล็อกดาวน์อีกครั้ง​

ในปัจจุบันประเทศจีน กำลังเผชิญกับการระบาดของ COVID-19 สายพันธุ์โอมิครอน ซึ่งส่งผลให้นโยบาย COVID เป็นศูนย์ และ มาตรการล็อกดาวน์ถูกนำกลับมาใช้อีกครั้ง โดยเฉพาะในเมืองสำคัญทางเศรษฐกิจอย่างเซี่ยงไฮ้ และ เมืองท่าใหญ่อย่างปักกิ่ง จึงส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจเป็นวงกว้างโดยสะท้อนผ่านดัชนี PMI ดังนี้

    • PMI ภาคการผลิต อยู่ที่ระดับ 47.4 
    • PMI ภาคการบริการ อยู่ที่ระดับ 41.9 

โดยตัวเลขดังกล่าวเป็นตัวเลขเมื่อเดือนเมษายน 2565 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการลดลงมาติดต่อกันอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังไม่มีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนนโยบาย แม้จะทางองค์กรอนามัยโลกจะออกมาระบุว่าวิธีของทางการจีนเป็นวิธีที่ไม่ยั่งยืนก็ตาม


ผลกระทบจาก จีนและสหรัฐฯ มีนโยบายการเงินสวนทางกัน

อย่างที่ทุก ๆ ท่านได้ทราบ การดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายของจีน ที่วิ่งสวนทางกับสหรัฐฯ แม้ว่าด้านหนึ่งจะช่วยพยุงการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนให้เป็นไปตามเป้าหมาย แต่ก็ส่งผลให้เกิดความต่างระหว่างดอกเบี้ยขึ้น ดังจะเห็นได้จากดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาล 10 ปี ของทั้งสองประเทศที่สร้างผลกระทบในหลาย ๆ ด้าน เช่น

    • ค่าเงินหยวนอ่อนค่าลงอย่างรวดเร็ว อาจเกิดเป็นวิกฤตค่าเงิน และ ถูกโจมตีทางค่าเงินได้
    • ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน เกิดภาวะเงินลงทุนไหลออกนอกประเทศ
    • เกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจเป็นวงกว้าง ท่ามกลางโจทย์เชิงโครงสร้าง เช่น หนี้ภาคธุรกิจ หรือ โครงสร้างประชากร ซึ่งเดิมคอยฉุดการเติบโตอยู่แล้ว ให้เติบโตได้ช้าลงไปอีก

ดังนั้นในระยะข้างหน้าปัจจัยเหล่านี้ยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจจีน ซึ่งจากที่เคยคาดการณ์ไว้ว่าจะเติบโตที่ 5.5% แต่ปัจจุบันทาง Bloomberg Consensus ได้ลดการคาดการณ์ตัวเลข GDP ไว้เหลือที่ 4.9% เท่านั้น

​* เงินหยวนของจีนแบ่งออกเป็น offshore ที่เคลื่อนไหวตามกลไกตลาด และ onshore ที่ควบคุมโดย PBOC ซึ่งจะมีการกำหนดค่ากลางประจำวันและปรับเพิ่มขึ้นลดลงได้ไม่เกิน 2%


ผสานหลายนโยบายคุมเศรษฐกิจจีน

นอกจากจะดำเนินนโยบายที่ต่างออกไปแล้ว จีนเองมีความซับซ้อนในการดูแลภาคเศรษฐกิจ ต่างจากทางสหรัฐฯ ที่ใช้การอ้างอิงจาก “อัตราดอกเบี้ย Fed Fund Rate” เป็นหลัก โดยที่ทางประเทศจีนนั้นมีนโยบายที่หลากหลายไม่ว่าจะเป็น

    • ปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้ (LPR) ตั้งแต่ต้นปีมีการปรับลด LPR ประเภท 1 ปี (ภาคเอกชน) และ LRP ประเภท 5 ปี (ภาคครัวเรือน และ สินเชื่อเพื่อการกู้จำนอง) เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ และ เพิ่มสภาพคล่องในระบบการเงิน
    • การอัดฉีดสภาพคล่องเข้าระบบ
    • การปรับลดสัดส่วนการกันสำรองของธนาคารพาณิชย์ (RRR) เมื่อเดือนเมษายน 2565 ได้ปรับลด RRR นี้ลงที่ 0.25% สำหรับธนาคารทุกแห่ง และ 0.5 สำหรับธนาคารขนาดเล็กเพื่อช่วยเสริมสภาพคล่องอีกทางหนึ่ง

จะเห็นได้ว่าจีนมีนโยบายทางการเงินที่หลากหลาย กำหนดค่ากลางของเงินหยวนได้ และ ความสามารถในการดำเนินการทางการเงินก็อยู่ในระดับสูง โดยดูจากการที่เงินเฟ้อยังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าเป้าหมาย 

        แต่หลังจากนี้การใช้นโยบายจะมีความท้าทายมากขึ้น เนื่องจากมีแรงกดดันจากทางสหรัฐฯ ที่ใช้นโยบายเชิงรุกแบบต่อเนื่อง ดังนั้นศูนย์วิจัยกสิกรไทยจึงมองว่าประเทศจีนจะยังคงผ่อนคลายนโยบายผ่านการลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่ม เพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจต่อไป


การเติบโตของเศรษฐกิจจีนส่งผลกระทบตรงถึงไทย

        ข้อสรุปสำหรับประเทศไทย ซึ่งถือได้เป็นมีประเทศจีนเป็นหนึ่งคู่ค้าหลัก อาจได้รับผลกระทบจากแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัวลง โดยแบ่งออกเป็น 3 มุม ดังนี้
    • ด้านค่าเงิน : เนื่องจากค่าเงินหยวนอ่อนลงทำให้ค่าเงินในภูมิภาคอ่อนตามไปด้วยรวมถึงไทย เพราะถือว่าค่าเงินหยวนเป็นค่าเงินที่นำในภูมิภาคนี้ ก็เป็นตัวกดดันให้เงินบาทเช่นกัน และจะเห็นว่าค่าเงินบาทในขณะนี้ปรับค่าอ่อนลง
    • ด้านการส่งออก : โดยเฉพาะส่งออกยังคงเป็นปัจจัยขับเคลื่อนที่สำคัญของไทย โดยคาดการณ์ว่า ภาพการส่งออกทั้งปีนี้ จะเติบโตได้ที่ 3.4 – 3.7%
    • ด้านการลงทุน : โดยเฉพาะการลงทุนในอสังหาฯ เพราะกำลังซื้อจากนักลงทุนจีนและฮ่องกงในไทยลดลงเนื่องจากเศรษฐกิจจีนมีความเสี่ยงที่เพิ่มมากขึ้นจากหลาย ๆ ปัจจัย เช่น สถานการณ์ COVID-19 ในประเทศจีน และ การขึ้นดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วของสหรัฐฯ อาจจะต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และ วางแผนการกระจายพอร์ตการลงทุนให้เหมาะสม

 


กลับ