Display mode (Doesn't show in master page preview)
Skip Ribbon Commands
Skip to main content

​​​        ซุปเปอร์เอลนีโญที่อาจลากยาวถึงปี 2568 กำลังกระทบธุรกิจผลิตอาหารทั่วโลก ทั้งการขาดแคลนน้ำในสหภาพยุโรปที่ทำให้ผลผลิตทางการเกษตรน้อยเกินคาด ฝนแล้งในอินเดียจนต้องระงับการส่งออกข้าวชั่วคราว ส่วนในไทยอาจเสี่ยงต่อการขาดแคลนน้ำรุนแรงกว่าปี 2558 ซึ่งเป็นปีที่เคยเกิดซุปเปอร์เอลนีโญ โดยข้อมูลล่าสุดจากคลังข้อมูลน้ำแห่งชาติ พบว่า ปริมาณน้ำใช้การได้ในเขื่อนทั่วประเทศล่าสุดอยู่ระดับ“น้อยวิกฤต” หรือต่ำกว่าระดับ 30% ของความจุเขื่อนทั้งหมด เป็นความท้าทายต่อธุรกิจผลิตอาหาร ซึ่งเป็นธุรกิจที่ใช้น้ำค่อนข้างมากในภาคการผลิต


2 สิ่งที่ธุรกิจผลิตอาหารต้องเจอหากขาดแคลนน้ำ



1. ปริมาณน้ำใช้มีจำกัด ธุรกิจผลิตอาหารใช้น้ำในกระบวนการผลิตสูงราว 300 ล้านลบ.ม./ปี อยู่ในอันดับ 2 ในภาคการผลิต รองจากการผลิตอโลหะ แต่ปริมาณน้ำใช้การที่อยู่ขั้นน้อยวิกฤต อาจกระทบมากกับการผลิตอาหารที่มีอัตราการใช้น้ำต่อหน่วยผลิตภัณฑ์มาก อาทิ ผงชูรส ไอศกรีม เส้นก๋วยเตี๋ยว-วุ้นเส้น ผัก-ผลไม้แช่แข็ง



2. วัตถุดิบอาหารหายาก - ราคาแพง โดยเฉลี่ยราว 70% ของต้นทุนการผลิตอาหาร คือวัตถุดิบอาหาร ดังนั้น การขาดแคลนน้ำจะส่งผลต่อคุณภาพวัตถุดิบต้นน้ำที่ไม่สม่ำเสมอ หายาก ดันราคาแพง โดยเฉพาะข้าว มันสำปะหลัง อ้อย ทุเรียน มังคุดมะม่วง ฯลฯ ทำให้ต้นทุนวัตถุดิบอาหารสูงขึ้น แข่งขันยากและอาจมีกำไรลดลง

        ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า จากปัจจัยดังกล่าวอาจกดดันต่อการส่งออกอาหารของไทย ทำให้ปี 2567 มูลค่าการส่งออกอาหารของไทยอาจขยายตัวจำกัดอยู่ในกรอบ 2.5-3.0%YoY จากปี 2566 ที่อาจหดตัว 0.2%YoY 

2 รูปแบบการปรับตัวของธุรกิจผลิตอาหารในช่วงขาดแคลนน้ำ

1. แนวทางรองรับความเสี่ยงจากการขาดแคลนน้ำระยะสั้น หากซุปเปอร์เอลนีโญเกิดในช่วงเวลาสั้น ๆ
    • ​ปรับสูตรอาหาร มองหาวัตถุดิบทางเลือก เช่น การเลือกใช้ประเภทของธัญพืช น้ำมัน ผักผลไม้อื่นๆ หรือจากแหล่งอื่นที่สามารถทดแทนกันได้ในการผลิตอาหารบางกลุ่ม



    • ​ปรับลดกำลังการผลิต ให้เหมาะสมและไม่รับออเดอร์มากเกินความสามารถในการส่งมอบ 

2. แนวทางรองรับความเสี่ยงจากการขาดแคลนน้ำระยะยาว จากโอกาสที่โลกจะเผชิญกับสภาพอากาศที่แปรปรวนอาจมีสูงขึ้น ถี่ขึ้น กินระยะเวลานานขึ้น อีกทั้งแนวทางประกอบธุรกิจต่อไปที่จะมุ่งไปสู่การผลิตแบบยั่งยืนหรือ ESG อาจจะคุ้มค่าต่อการลงทุนสำหรับธุรกิจที่มีความพร้อมด้านเงินทุน หรือตั้งอยู่ในพื้นที่เสี่ยงต่อการขาดแคลนน้ำ หรือต้องการมุ่งสู่การผลิตสีเขียว ผ่านการปรับปรุงกระบวนการผลิตที่ลดการใช้น้ำลง อาทิ



ลงทุนในเทคโนโลยีบำบัด-รีไซเคิลน้ำเสียกลับมาใช้ใหม่ อาทิ ระบบ Biofloc ที่ใช้ตะกอนจุลินทรีย์มาย่อยสลายของเสียในบ่อเลี้ยงสัตว์น้ำโดยไม่ต้องเปลี่ยนน้ำ หรือระบบกรองน้ำในโรงงานอาหาร (ระบบ Ultrafiltration/Reverse Osmosis) ที่ช่วยทำให้น้ำทิ้งกลายเป็นแหล่งน้ำต้นทุนใหม่
นำเทคโนโลยีที่เชื่อมต่ออินเตอร์เนตกับอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับระบน้ำในโรงงานมาปรับใช้ อาทิ  IoT Cloud Platform โดยอาจเชื่อมต่อกับเครื่องมือหรือมิเตอร์ต่างๆ ในโรงงาน เพื่อนำไปวิเคราะห์และปรับปรุงแนวทางการบริหารจัดการน้ำในโรงงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น 

        ทั้งนี้ ผู้ประกอบการควรประเมินผลกระทบและความคุ้มค่าในการลงทุน เพื่อจะได้พิจารณาทยอยปรับหรือเลือกปรับแนวทางให้เหมาะสมกับธุรกิจและเงินทุน 

ตัวอย่างการปรับตัวที่ประสบความสำเร็จใน​การแก้ปัญหาการขาดแคลนน้ำ 

        อิสราเอล พื้นที่ครึ่งหนึ่งเป็นทะเลทรายและปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยต่อปีอยู่ในระดับต่ำมาก เป็นข้อจำกัดต่อการเพาะปลูกและผลิตอาหาร ส่งผลให้อิสราเอลพัฒนาการผลิตน้ำจืดไว้ใช้ภายในประเทศ เช่น



    • ลงทุนโรงงานผลิตน้ำจืดจากทะเล โดยใช้เทคโนโลยีสกัดเกลือออกจากน้ำทะเล
    • พัฒนาระบบชลประทานน้ำหยด ให้อาหารและน้ำกับพืชตามสายทีละหยด เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดูดซึม รวมถึงเพิ่มระบบเซนเซอร์มาตรวัดน้ำหยด ทำให้สามารถวิเคราะห์ข้อมูลการเติบโตและเพิ่มคุณภาพและปริมาณผลผลิตได้



        สิงคโปร์ เป็นอีกหนึ่งประเทศที่ขาดแคลนน้ำและต้องนำเข้าน้ำสำหรับอุปโภคและบริโภค แนวทางการจัดการของภาครัฐ คือ 

    • นำเทคโนโลยีรีไซเคิลน้ำเสียมาใช้จนได้น้ำดิบคุณภาพดี ภายใต้ชื่อ NEWater โดยนำน้ำเสียจากภาคครัวเรือนและอุตสาหกรรมมาผ่านกรรมวิธีกรองแบบ Microfiltration Reverse Osmosis และนำกลับเข้าไปใช้ในกระบวนการผลิตและการหล่อเย็นของภาคอุตสาหกรรม
    • ทำระบบแปลงน้ำทะเลเป็นน้ำจืด ซึ่งมีโรงผลิตใกล้กับโรงงานเผาขยะ เพื่อนำพลังงานจากการเผาขยะไปใช้ในโรงงานแปลงน้ำทะเล ผลที่ได้คือ ช่วยลดการแย่งชิงทรัพยากรน้ำของภาคอุตสาหกรรมกับประชาชนได้เป็นอย่างดี



กลับ