Display mode (Doesn't show in master page preview)
Skip Ribbon Commands
Skip to main content

​​​        ในช่วงเวลาที่ผ่านมา มีข่าวเกี่ยวกับการหารือความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างรัฐบาลไทย และ จีน ในข้อตกลงนโยบาย “ฟรีวีซ่าถาวร” ที่จะส่งผลให้ประชาชนของทั้งสองประเทศ สามารถเดินทางเข้า-ออก รวมไปถึงอาศัยพักผ่อนในประเทศนั้น ๆ ได้สูงสุดถึง 30 วันต่อการเดินทางเข้าประเทศ 1 ครั้ง โดยคาดว่าจะเริ่มมีผล 1 มีนาคมนี้ 

        โดยก่อนหน้านี้ ประเทศไทยได้เคยออกมาตรการยกเว้นวีซ่าให้กับนักท่องเที่ยวจีน ในช่วงวันที่ 25 ก.ย. – 29 ก.พ. 67 เพื่อเป็นการกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวของไทย ที่เป็นหนึ่งในเครื่องยนต์สำคัญของเศรษฐกิจ ที่ในช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของ COVID-19 นั้นสามารถสร้างรายได้สูงถึง 3 ล้านล้านบาท หรือ ประมาณ 18% ของ GDP เลยทีเดียว (โดยเป็นรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างประเทศถึง 2 ใน 3 ของรายได้ทั้งหมด) ที่สำคัญยังสามารถสร้างการจ้างงานในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกว่า 7 ล้านคน หรือ 20% ของการจ้างงานทั้งหมดในปี 2562 ดังนั้นนโยบาย “ฟรีวีซ่าถาวร” ที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้จึงได้รับคาดการณ์ว่าจะหนุนให้มีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้ามาประเทศไทยไม่น้อยกว่า 8 ล้านล้านราย และเป็นความหวังในการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวซึ่งจะเป็นแรงขับเคลื่อนให้กับเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไป

ผู้ประกอบการไทยเตรียมความพร้อม
มองหาโอกาสจากนโยบายฟรีวีซ่าถาวร 



        นอกจากธุรกิจภาคการท่องเที่ยว กลุ่มสายการบิน โรงแรม โลจิสติกส์ และ กลุ่มร้านอาหารที่คาดว่าจะได้อานิสงส์จากการท่องเที่ยวที่คึกคักมากขึ้น ยังมองเห็นโอกาสของผู้ประกอบการในกลุ่มธุรกิจอื่น ๆ อีกเช่นกัน

    • กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ได้ประโยชน์ทางอ้อม การเดินทางที่คล่องตัวระหว่างไทย-จีน ช่วยเพิ่มโอกาสการซื้อขายที่อยู่อาศัยในไทย โดยเฉพาะคอนโดมิเนียม ที่ผ่านมาชาวจีนเป็นลูกค้าหลักอันดับ 1 ที่มีมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์สัดส่วนสูงที่สุด 47.3% ของมูลค่าการซื้อขายโอนกรรมสิทธิ์ของลูกค้าชาวต่างชาติ (ข้อมูล ณ ไตรมาสที่ 3/66) อยู่ที่ประมาณ 1.55 แสนล้านบาท เป็นโอกาสที่จะระบายสต็อกคอนโดพร้อมโอนที่มีอยู่ 1.29 แสนล้านบาท ทำได้มากขึ้น 
    • กลุ่มการศึกษา เช่น โรงเรียนนานาชาติ โรงเรียนสอนภาษาจีน ที่มีผู้คนสนใจเรียนภาษาเพื่อสะดวกในการติดต่อธุรกิจซึ่งนับวันก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ โดยตัวเลขทางสถิติยืนยันว่าปัจจุบันคนไทยเรียนภาษาจีนกว่า 850,000 คน ไทยมีสถาบันขงจื่อ 14 แห่ง และ โรงเรียนขงจื่อ 18 แห่ง (ถ้าเขียนกลางๆสถาบันสอนภษาจีนภายใต้กระทรวงศึกษา ประมาณนี้จะเข้าใจกว่าไหม) (ข้อมูล ณ เมษายน 66) และตำแหน่งงานในปัจจุบัน เช่น งานด้านการขาย การขนส่ง โลจิสติกส์ และ ในธุรกิจพลังงาน ฯลฯ ก็ต้องการคนรู้ภาษาจีนมากขึ้นอีกด้วย
    • กลุ่มสินค้าเกษตร เป็นโอกาสดีที่จะทำให้สินค้าเกษตรกรไทยเข้าถึงผู้บริโภคชาวจีนได้มากขึ้นผ่านล้ง(สะกดผิดหรือ เป็นคำ ๆ นี้จริง ๆ )ของพ่อค้าชาวจีนที่พอเปิดฟรีวีซ่าถาวรทำให้สะดวกในการเดินทางสามารถหาซื้อผลไม้ไทยได้ง่ายขึ้น เช่น ทุเรียน มะพร้าว ลำไย ที่เป็นที่นิยมของชาวจีน ซึ่งจะทำให้ราคาผลไม้สูงขึ้น เกษตรกรมีทางเลือกในการขาย และสามารถขยายเป็นธุรกิจการท่องเที่ยว (Local tourism) เช่น สวนสุภัทราแลนด์ จ.ระยอง ทำกลยุทธ์การตลาดบุฟเฟ่ต์ทุเรียนที่นักท่องเที่ยวต่างชาติมักเลือกเดินทางไปทานผลไม้สด ๆ ในสวน



    • กลุ่มสินค้าของฝาก สินค้าแปรรูป เช่น ร้านทองรูปพรรณในเยาวราชที่ทัวร์ชาวจีนมักซื้อกลับไปเป็นของฝากให้กับคนที่รัก สินค้าแปรรูปของใช้ตามแหล่งท่องเที่ยว เช่น ที่ดิปกาแฟ กระเป๋า ผลิตภัณฑ์แฮนด์เมด ของฝาก เป็นต้น
    • กลุ่มธุรกิจการแพทย์ ชาวจีนมีความใส่ใจในการดูแลสุขภาพมากขึ้น ขณะที่อัตราการเกิดของประชากรชาวจีนมีแนวโน้มลดลงเรื่อย ๆ ล่าสุดรัฐบาลจีนมีความพยายามในการกระตุ้นการมีบุตรให้มากขึ้น และ ต้องการยกระดับการรักษาพยาบาลผู้หญิงตั้งครรภ์ให้มีความปลอดภัยของแม่ และ ทารกเพื่อลดการเสียชีวิตจากการตั้งครรภ์ ซึ่งในประเทศไทยมีความพร้อมในเทคโนโลยีการรักษาทางการแพทย์และดูแลที่ดีเยี่ยม จึงอาจเป็นโอกาสการทำการตลาดในกลุ่มดูแลสุขภาพ และ ความปลอดภัยเพิ่มเติมของนักท่องเที่ยว และ นักท่องเที่ยวที่เป็นหญิงมีครรภ์ได้



        จากปัจจัยข้างต้นทำให้ยังมองเห็นโอกาสในการลงทุนในตลาดหุ้นไทย สำหรับนักลงทุนที่สนใจลงทุนผ่านกองทุนรวมหุ้นไทยสามารถเลือกลงทุนหุ้นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากนโยบายฟรีวีซ่าถาวรได้ อีกทั้งไทยเองยังมีปัจจัยบวกจากนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจอื่น ๆ ที่รออยู่ อย่างไรก็ตามทางกสิกรไทยยังมีมุมมองเป็นกลางต่อตลาดหุ้นไทย เนื่องจากเศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยงที่อาจจะไม่เติบโตตามที่คาด ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มจะทรงตัวที่ 2.5% ตลอดทั้งปี 2567 ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้น กระทบหนี้ครัวเรือนและอาจกดดันการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนให้ชะลอตัวลง 

        ขณะที่การส่งออกฟื้นตัว จากแนวโน้มการค้าโลกที่ขยายตัวสูงขึ้น การลงทุนภาคเอกชนฟื้นตัวดีตามแนวโน้มยอดขอรับการส่งเสริมการลงทุนและนโยบายส่งเสริมภาครัฐเป็นปัจจัยหลักหนุนเศรษฐกิจอีกทั้งระดับราคาในการซื้อขายปัจจุบันค่อนข้างถูกเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยย้อนหลังจึงมีโอกาสที่จะปรับตัวลงหลังจากนี้ค่อนข้างจำกัด 

กองทุนแนะนำที่เกี่ยวข้อง
สำหรับผู้ที่รับความเสี่ยงสูง
 

K-STAR-A(A)
        มีกลยุทธ์ลงทุนหุ้นพื้นฐานดี พร้อมจับจังหวะธีมการลงทุนและระดับการถือเงินสดให้สอดคล้องกับสภาวะตลาดนั้นๆ เพื่อเพิ่มโอกาสในการทำกำไร โดยมีการกระจายการลงทุนไปในหุ้นขนาดกลางและเล็กเพื่อเพิ่มผลตอบแทน เหมาะกับนักลงทุนที่มองหาโอกาสในการลงทุนหุ้นไทย

​อ่านรายละเอียดกองทุน
​ซื้อกองทุนผ่าน K PLUS




บทความโดย
กานต์พิชชา แดงพิบูลย์สกุล AFPT
K WEALTH Trainer 

แหล่งอ้างอิง

 


กลับ