Display mode (Doesn't show in master page preview)
Skip Ribbon Commands
Skip to main content

​​​​สหรัฐฯ เพิ่มดอกเบี้ยนโยบาย แก้เงินเฟ้อ

 
        การระบาดของ COVID-19 ทำให้เศรษฐกิจหลาย ๆ ประเทศเข้าสู่ภาวะถดถอย ภาครัฐจึงจำเป็นต้องใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย เพื่อเสริมสภาพคล่อง อัดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ และ กระตุ้นให้เกิดการลงทุน การบริโภค และ การจ้างงาน รวมถึงเพื่อให้เม็ดเงินหมุนเวียนในระบบ จากนโยบายดังกล่าวแม้จะทำให้เศรษฐกิจทยอยฟื้นตัว แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตามมา คือ การเกิดเงินเฟ้อที่สูงที่สุดในรอบ 40 ปี (ธันวาคม 2021)

 

 

 
        โดยผลประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) วันที่ 25 - 26 มกราคมในปีนี้ ได้ส่งสัญญาณการขึ้นดอกเบี้ยในเดือนมีนาคม และ มากกว่านั้นมีการกล่าวถึงแผนการดึงเงินออกจากระบบลดขนาดงบดุล เพื่อควบคุมปริมาณเงินให้สมดุลกับเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยสถานการณ์ปัจจุบันกล่าวได้ว่า สหรัฐฯได้เริ่มเปลี่ยนทิศทางการใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายเข้าสู่ช่วงต้นของการเข้มงวดทางการเงิน เพื่อชะลอความร้อนแรงของเศรษฐกิจเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จากการเปลี่ยนแปลงที่กล่าวมานั้น

 
ธนาคารกสิกรไทยคาดการณ์และแนะนำว่า
    • สหรัฐฯ จะขึ้นดอกเบี้ย 3 ครั้ง โดยจะขึ้นครั้งแรกในเดือนมีนาคมนี้
    • ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจะส่งผลต่อการลงทุนในหุ้น โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเติบโตสูง เช่น หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี และ หุ้นกลุ่มสื่อสาร ที่มักจะมีโอกาสปรับตัวลงในช่วงที่ดอกเบี้ยเป็นขาขึ้น
    • ดังนั้นนักลงทุนควรติดตามผลการเปลี่ยนนี้อย่างใกล้ชิด


 
จีนสวนทาง ปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย

 
        ขณะที่ทางสหรัฐฯ รวมถึงประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ได้มีการประกาศการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเพื่อแก้ปัญหาเงินเฟ้อที่เกิดขึ้น แต่ทางประเทศจีนนั้นกลับมีนโยบายที่สวนทางกัน โดยหันมาลดดอกเบี้ยนโยบายเน้นกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อบรรเทาผลกระทบจากมาตรการเข้มงวดต่อการจัดการแพร่ระบาดของ COVID-19 มาตรการที่ควบคุมหนี้สินภาคอสังหาริมทรัพย์ และ มาตรการควบคุมบริษัทเทคโนโลยีในปีที่ผ่านมา 

 
ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของจีน
    • เกิดสภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจ ซึ่งส่งผลดีต่อการลงทุน
    • ราคาหุ้นมีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นจากแรงซื้อของนักลงทุนที่พร้อมจะเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น (*)
(*) ดอกเบี้ยที่น้อยลง ทำให้การฝากเงินในธนาคารมีความน่าสนใจน้อยกว่าการเข้าลงทุน

คาดไทยคงอัตราดอกเบี้ยเดิมตลอดปี

 
        สำหรับในประเทศไทยนั้น ยังเน้นการใช้นโยบายดอกเบี้ยต่ำที่ 0.5% เพื่อให้เศรษฐกิจมีโอกาสขยายตัว แม้จะเริ่มได้รับแรงกดดันต่าง ๆ อาทิ สถานการณ์เงินเฟ้อ อีกทั้งยังต้องคุมต้นทุนทางการเงินของผู้ประกอบการไว้เพื่อให้เกิดการจ้างงาน ซึ่งการขึ้นดอกเบี้ยเร็วเกินไปอาจทำให้เศรษฐกิจเกิดการสะดุดได้ โดยธนาคารกสิกรไทยคาดว่าประเทศไทยนั้นจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ตลอดทั้งปี


 
เคล็ดลับการลงทุน รับมือความท้าทาย

 
จากการใช้นโยบายที่แตกต่างกันนี้ ส่งผลกระทบต่ออัตราแลกเปลี่ยน และ การเคลื่อนย้ายของเงินลงทุนอย่างมากในปีนี้ อีกทั้งยังมีความเสี่ยงต่าง ๆ ที่อาจกระทบต่อเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็น COVID-19 ที่ยังไม่จบ หรือ ปัญหากิจกรรมทางเศรษฐกิจ เช่น การส่งสินค้า การขาดแคลนวัตถุดิบ หรือ ราคาพลังงานเพิ่มสูง เป็นต้น

 
ดังนั้นในสถานการณ์เช่นนี้ นักลงทุนจึงควรเน้นการลงทุนในสินทรัพย์ที่สร้างกระแสเงินสดได้ดี เช่น
    • หุ้นกลุ่มธนาคาร
    • อสังหาริมทรัพย์ให้เช่า
    • การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน

 
นอกจากนี้ควรกระจายความเสี่ยงในการลงทุนด้วยการลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์ และ ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อให้สามารถปรับสัดส่วนได้อย่างเหมาะสม
K-Expert กฤษณ์ ประพฤทธิ์วงศ์ AFPT™
ฝ่ายพัฒนาการให้คำปรึกษาลูกค้า

 
กองทุนแนะนำ
กองทุนเปิดเค โกลบอล อินคัม
K-GINCOME-A(A)
กระจายการลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์ทั่วโลกกว่า 2,500 ตัว เน้นสินทรัพย์ที่จ่ายผลตอบแทนสูง
ทั้งในรูปของดอกเบี้ยและเงินปันผล เช่น หุ้นกู้ หุ้นปันผล กองอสังหาฯ 
​อ่านรายละเอียดกอง​ทุน
ซื้อกองทุนง่าย ๆ ผ่าน KPLUS

​​​​

​ทำไมต้องเค โกลบอล อินคัม
    • โอกาสรับผลตอบแทนในรูปแบบรายได้สม่ำเสมอในทุกสภาวะตลาด
    • ปรับสัดส่วนการลงทุนให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาวะตลาด
    • กระจายการลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์ กว่า 2,500 ตัวทั่วโลก

 
เหมาะสำหรับใคร?
    • ผู้ที่ต้องการลงทุนในตราสารทุนและตราสารหนี้ทั่วโลกเพื่อการเติบโตของเงินทุนในระยะยาว
    • ผู้ลงทุนที่สามารถรับความผันผวนของราคาหุ้นที่กองทุนรวมไปลงทุน ซึ่งอาจจะปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นหรือลดลงจนต่ำกว่ามูลค่าที่ลงทุน และ ทำให้ขาดทุนได้
    • นักลงทุนมือใหม่ ที่อยากเริ่มลงทุน แต่ยังไม่อยากเสี่ยงสูงมาก และ ไม่รู้จังหวะในการเข้าลงทุน
    • นักลงทุนที่มีประสบการณ์ลงทุนมาแล้ว แต่ไม่ได้รับผลตอบแทนตามที่คาดหวังไว้ เพราะเคยลงทุนในสินทรัพย์ประเภทใดประเภทหนึ่งมากหรือน้อยเกินไป ไม่ได้กระจายความเสี่ยง หรือไม่มีเวลาปรับพอร์ตด้วยตนเอง
    • แนะนำควรถือครองกองทุนตั้งแต่ 3 - 5 ปี เพื่อโอกาสรับผลตอบแทนตามเป้าหมาย และลดโอกาสขาดทุนในระยะสั้น ๆ
    • เหมาะสำหรับนักลงทุนที่สามารถรับความเสี่ยงทางด้านอัตราแลกเปลี่ยนเนื่องจากกองทุนมีการป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนไม่เต็มจำนวนของเงินลงทุนในต่างประเทศ


 


 

กลับ