Display mode (Doesn't show in master page preview)
Skip Ribbon Commands
Skip to main content

​​ไชยวัฒน์ คมโสภาพงศ์ AFTP
ฝ่ายพัฒนาการให้คำปรึกษาลูกค้า

        ณ เวลานี้หลายคนจับตาดูการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจากวิกฤต COVID-19 ซึ่งหนึ่งในประเทศที่ฟื้นตัวได้ชัดเจน แถมยอด GDP ยังขยายตัวได้ในปีที่ผ่านมาคงหนีไม่พ้นประเทศจีน ซึ่งในอดีตนั้นเศรษฐกิจจีนเน้นพึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก แต่ในตอนนี้ที่กำลังผันตัวเองไปสู่เศรษฐกิจใหม่ หรือ New Economy ด้วยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเข้าสู่สังคมดิจิทัล (Digitalized Society) อย่างเต็มตัว พร้อมที่จะก้าวเข้าสู่การเป็นผู้บริโภคด้วยกำลังซื้อมหาศาล ด้วยจำนวนประชากรที่มากเป็นอันดับหนึ่งของโลกกว่า 1,400 ล้านคน และ แผนการปฏิรูปเศรษฐกิจเศรษฐกิจระยะ 5 ปีของรัฐบาล

ต่อยอดทางเศรษฐกิจด้วยนโยบายของรัฐบาล เพิ่มรายได้แก่ประชากร เพิ่มกำลังซื้อของประเทศ
        แผนปฏิรูปเศรษฐกิจระยะ 5 ปี ฉบับที่ 14 ( ปี 2021 - 2025 ) ของทางรัฐบาลจีน ที่ไม่ได้กำหนดเป้าการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) อย่างชัดเจนเหมือนแผนปฏิรูปฉบับอื่น หากแต่ต้องการให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างมีคุณภาพ ลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจระหว่างคนรวยกับคนจน โดยแผนปฏิรูปเศรษฐกิจฉบับนี้รัฐบาลตั้งเป้า ในการเพิ่มรายได้เฉลี่ยต่อหัว ของประชากรจีนให้อยู่ในระดับเดียวกับประเทศพัฒนาแล้ว จากเดิมปี 2019 รายได้เฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ 10,262 ดอลลาร์สหรัฐฯ ตั้งเป้าเพิ่มเป็น 30,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในปี 2035 ซึ่งนับว่าเป็นการเพิ่มขึ้นราวสามเท่าตัวเลยทีเดียว
        เมื่อรายได้ต่อหัวของประชากรเพิ่ม สิ่งที่ตามมาก็คือ รสนิยมการบริโภคที่มีคุณภาพมากขึ้น ตัวอย่างเช่น สุราเกรดพรีเมี่ยม “Kweichow Moutai” และ “Wuliangye Yibin” ซึ่งเป็นสองบริษัทที่มีมูลค่าเป็นอันดับต้น ๆ ของตลาดหุ้นจีน A-Share ที่ได้รับความนิยมจากจำนวนชนชั้นกลางที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว หรืออย่างเช่น บริษัทประกันรายใหญ่ของจีน Ping An Insurance Group ที่ได้ประโยชน์จากความต้องการเข้าถึงประกันสุขภาพ ประกันชีวิต ของชนชั้นกลางที่เพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน

        จากการเปลี่ยนแปลง และ เหตุผลข้างต้นที่กล่าวมา จึงไม่น่าแปลกใจที่นักลงทุนจากทั่วโลกจะมองเห็นโอกาสการลงทุนในธุรกิจที่เติบโตตามกำลังซื้ออย่างมหาศาลของประเทศจีน นั้นคือสาเหตุว่า ทำไมตอนนี้เราควรต้องพิจารณาการลงทุนในตลาดหุ้นจีนอย่างจริงจังเพื่อสร้างผลตอบแทนจากการเติบโตของเศรษฐกิจจีน ซึ่งการลงทุนผ่านธนาคารกสิกรไทยจะมีกองทุนที่เน้นการลงทุนในหุ้นจีน A-Shares (ตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้และเซินเจิ้น) ที่มีมูลค่าตลาดรวมใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ นั่นก็คือ กองทุนเปิดเค ไชน่า คอนโทรล โวลาติลิตี้  (K-CCTV) ที่จะมาแนะนำในครั้งนี้ครับ

ทำไมต้อง เค ไชน่า คอนโทรล โวลาติลิตี้
  • สร้างโอกาสรับผลตอบแทนจากหุ้นจีนคุณภาพดี มีแนวโน้มเติบโตสูง
  • มีโมเดลบริหารความเสี่ยงโดยการปรับสัดส่วนระหว่างกองทุนตราสารหนี้หรือเงินสด และกองทุนที่ลงทุนในหุ้นจีน ช่วยลดความผันผวนของกองทุนอย่างเป็นระบบ
  • ลงทุนผ่านกองทุนหลัก 2 กองทุน
  • กองทุน UBS Investment SICAV – China A Opportunity เน้นหุ้นจีนขนาดใหญ่ที่เติบโตสูง เป็นกลุ่มผู้นำตลาดและกลุ่มธุรกิจที่ได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจของจีน
  • กองทุน Schroder International Selection Fund – China A มีการลงทุนบางส่วนในหุ้นขนาดกลางและเล็กที่มีการเติบโตสูง เน้นหุ้นที่เกี่ยวกับสินค้าเทคโนโลยีและนวัตกรรมการผลิตขั้นสูง

เหมาะสำหรับใคร
  • ผู้ลงทุนที่ต้องการรับผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นจีน A-Share ที่มีแนวโน้มเติบโตสูง
  • ผู้ที่สามารถรับความผันผวนของราคาหุ้นที่กองทุนรวมไปลงทุน ซึ่งอาจจะปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นหรือลดลงจนต่ำกว่ามูลค่าที่ลงทุนและทำให้ขาดทุนได้
  • ผู้ลงทุนที่สามารถลงทุนในระยะยาวตั้งแต่ 5 ปี ขึ้นไป
  • ผู้ลงทุนที่สามารถรับความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้


​​​กองทุน K-CCTV เน้นลงทุนหุ้นจีนพร้อมกลยุทธ์ควบคุมความผันผวน ซึ่งได้ประโยชน์จากการเติบโตของบริษัทในประเทศจีน โดยจะเน้นลงทุนกลุ่มอุปโภคบริโภคที่เป็นแรงขับเคลื่อนหลักให้ประเทศจีนเติบโตอย่างยั่งยืน​
​ซื้อกองทุนง่าย ๆ ผ่าน KPLUS Application
เพียงคลิก

อ่านรายละเอียดกองทุนเพิ่มเติม​

คลิก​




กลับ