Display mode (Doesn't show in master page preview)
Turn on more accessible mode
Skip Ribbon Commands
Skip to main content
Turn off Animations

ลงทุนอย่างไร เมื่อ Fed พักขึ้นดอกเบี้ยชั่วคราว?

ลงทุนอย่างไร เมื่อ Fed พักขึ้นดอกเบี้ยชั่วคราว?

​​​​​​        การประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ล่าสุดเดือน มิ.ย. มีมติคงดอกเบี้ยไว้ที่ 5.00 - 5.25% ตามคาด โดย Fed มีท่าทีใช้นโยบายทางการเงินแบบเข้มงวด (Hawkish) เพิ่มขึ้น สะท้อนผ่าน Dot plot (ค่าประมาณการอัตราดอกเบี้ยนโยบายในอนาคต) ที่ประเมินดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นเป็น 5.6% ในช่วงสิ้นปี 2023 (เดิมคาดการณ์ที่ 5.1%) และ 4.6% ในช่วงสิ้นปี 2024 (เดิมคาดการณ์ที่ 4.3%) โดยน่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.25% อีก 2 ครั้ง หลังการประชุมในครั้งนี้ ซึ่ง Fed คงให้ความสำคัญกับสถานการณ์เงินเฟ้อ ที่เชื่อว่าต้องใช้ระยะเวลาอีกนานกว่าจะกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายที่ 2% 

        มุมมองตลาดหุ้นโลกอาจต้องเผชิญกับความผันผวนจากท่าทีของ Fed ที่ Hawkish เพิ่มขึ้น ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ ในอนาคต ยังมีความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย ผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว สะท้อนได้จากดัชนีผู้จัดซื้อภาคการผลิตโลก (PMI) ในเดือน พ.ค. ยังอยู่ในภาวะหดตัว อีกทั้งแนวโน้มการประชุมที่เหลือของปี Fed อาจจะกลับมาขึ้นดอกเบี้ยอีก 2 ครั้ง ขณะที่มุมมองกสิกรประเมินว่า Fed อาจขึ้นดอกเบี้ยอีกเพียง 1 ครั้ง ซึ่งยังเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ตลาดอาจผันผวนต่อเนื่อง



การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเมื่อถึ​งระดับสูงสุด มักเกิดเศรษฐกิจถดถอยหรือวิกฤตตามมา

        ในปี 1980 - 2019 ช่วงที่อัตราดอกเบี้ยขยับขึ้นสู่ระดับสูงสุด ดัชนี S&P500 ให้ผลตอบแทนที่สูง Fed ใช้นโยบายขึ้นดอกเบี้ยเพื่อต้องการที่จะลดความร้อนแรงของเศรษฐกิจเหมือนเช่นเหตุการณ์ปัจจุบัน แต่ก็ยังมุ่งหวังให้เกิดความสมดุลด้วย ซึ่งจะทำได้นั้นค่อนข้างยาก การที่จะทำให้เงินเฟ้อและเศรษฐกิจชะลอตัวลงนั้นอาจต้องยอมให้เศรษฐกิจพังไปก่อนหรือเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย แล้วจึงกลับมาใช้นโยบายผ่อนคลายที่ลดดอกเบี้ยลงอย่างต่อเนื่อง ตลาดหุ้นมักปรับตัวลงทำจุดต่ำสุดและหลังจากนั้นต้องกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจอย่างเร่งด่วนต่อไป 

ดัชนี S&P500 และ อัตราดอกเบี้ยนโยบายธนาคารกลางสหรัฐฯ

ที่มา : Bloomberg ณ วันที่ 15 มิ.ย. 2023 

ส่วนต่างระหว่างผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี และ 2 ปี ติดลบ (Inverted Yield Curve) มักเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยตามมา

ที่มา : Bloomberg ณ วันที่ 15 มิ.ย. 2023 

    • ในอดีตนับตั้งแต่ปี 1980 เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย หลังเกิด Invert yield curve (อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุสั้น “สูงกว่า” อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุยาว ซึ่งตามปกติแล้วไม่ควรเกิดภาวะเช่นนี้) โดยเฉลี่ย 1 ปีครึ่ง และในรอบครั้งนี้ Yield curve ได้ invert ไปในเดือน เม.ย. 2022 จึงสะท้อนได้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีความเสี่ยงที่จะเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยในช่วงเดือน พ.ย. - ธ.ค. 2023
    • แต่ไม่ใช่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยทุกครั้งหลังจาก Invert yield curve เสมอไป 

        ดังนั้นสรุปได้ว่าสถานการณ์เศรษฐกิจ และ ตลาดหุ้นปัจจุบันยังไม่สะท้อนผลกระทบของการขึ้นดอกเบี้ยทั้งหมด ความเสี่ยงของเศรษฐกิจ และ ตลาดหุ้นปรับลงในระยะข้างหน้ายังคงสูงอยู่



ลงทุนอะไรดี! เมื่อความไม่แน่​นอนและเศรษฐกิจถดถอยยังคงสูงอยู่ 

        จากสถิติที่ผ่านมาจังหวะเข้าลงทุนที่ดีที่สุด คือ ช่วงหลังเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยไปแล้ว 6 เดือน “ตลาดหุ้นมักให้ผลตอบแทนเป็นบวก” แต่กว่าจะรอถึงเวลานั้นเพื่อเข้าลงทุน นักลงทุนไม่ควรเสียโอกาสหาผลตอบแทนระหว่างการรอ ควรคว้าโอกาสปัจจุบัน เลือกลงทุนสินทรัพย์ที่เหมาะสม สะสมผลตอบแทนเพื่อประโยชน์สูงสุดของนักลงทุนเอง 

กราฟแสดงผลตอบแทนเฉลี่ยการลงทุนเมื่อเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย


        ดังนั้น ธีมการลงทุน ช่วงปลายวัฏจักรเศรษฐกิจ รอโอกาสตลาดพลิกฟื้น กลุ่มเหล่านี้จึงน่าสนใจ
    • กลุ่มที่ได้รับประโยชน์หากดอกเบี้ยมีแนวโน้มจะหยุดขึ้นหรือปรับตัวลงในระยะข้างหน้า เช่น พันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้ ตราสารหนี้คุณภาพดี (Investment Grade) ที่มีอายุเฉลี่ยตราสารระยะกลาง ซึ่งให้อัตราผลตอบแทน (Yield) อยู่ในระดับที่น่าสนใจและราคามีแนวโน้มปรับตัวขึ้นได้ดีหากอัตราดอกเบี้ยจะกลับมาเป็นขาลง ซึ่งปัจจุบันราคาตราสารหนี้ได้สะท้อนการรับรู้ข่าวไปค่อนข้างมากแล้ว ความผันผวนต่อจากนี้จึงค่อนข้างจำกัด
    • เน้นหุ้นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบต่อความผันผวนของเศรษฐกิจจำกัด เนื่องจากเศรษฐกิจโลกยังอยู่ในช่วงชะลอตัว หลายประเทศยังมีความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอย เช่น กลุ่ม Health Care กลุ่มสาธารณูปโภค (ไฟฟ้า ประปา) กลุ่มอาหารที่เป็นปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิต มักมีผลประกอบการที่ยังสามารถเติบโตได้ แม้จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย
    • เน้นกระจายการลงทุนผ่านกองทุนรวมผสม หากนักลงทุนมีความสนใจลงทุนแต่ไม่มีเวลาในการติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจ กองทุนผสมเป็นทางเลือกที่น่าสนใจทางเลือกหนึ่ง เพราะทุกๆ ปี การลงทุนสินทรัพย์ต่างๆ จะให้ผลตอบแทนที่ดีและไม่ดี สลับกันไป ไม่สามารถคาดการณ์ได้ แต่การกระจายการลงทุน เช่น กองทุนผสม ผลตอบแทนโดยรวมมักให้ผลตอบแทนเป็นบวกอยู่ระดับกลางๆ เมื่อเทียบกับสินทรัพย์อื่นและมีความผันผวนที่ต่ำกว่า 

ผลตอบแทนแต่ละสินทรัพย์ ปี 2008 - 2022​


    • เน้นกลุ่มประเทศที่มีการดำเนินนโยบายแบบผ่อนคลายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
        • ตลาดหุ้นจีนที่มีการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายการเงินและการคลังอย่างต่อเนื่อง แนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจเติบโตมากกว่า 5% ในปีนี้ และตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ธนาคารก็มีคำแนะนำให้นักลงทุนทยอยลงทุนในตลาดหุ้นจีน ถึงแม้จะมีผลตอบแทนที่ติดลบก็ตาม จากปัจจัยหลักๆ ที่เหนือความคาดหมายของนักวิเคราะห์ คือ
        • ตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมาเติบโตดีแต่กลับต่ำกว่าที่ตลาดคาด สะท้อนเศรษฐกิจจีนยังไม่ฟื้นตัวอย่างเต็มที่ นักลงทุนจึงเกิดความกังวลว่า GDP ที่ตั้งไว้ต้นปีจะสามารถถึงเป้าหมายได้หรือไม่
        • ประชาชนยังไม่กลับมาใช้จ่ายเท่าช่วงก่อนโควิด เนื่องจากการคลายล็อคดาวน์ได้ไม่นาน แต่ด้วยเงินเฟ้อที่ต่ำ ทางรัฐบาลจีนยังสามารถใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจอย่าง เช่น การลด RRR (Reserve Requirement Ratio : สัดส่วนการกันสำรองของธนาคารพาณิชย์) เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้กับระบบเศรษฐกิจได้ และล่าสุดในเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมา จีนได้ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ย Repo Rate 7 วัน ลง 10 bps จากระดับ 2.0 % สู่ระดับ 1.9 % , ลดดอกเบี้ยเงินกู้ระยะสั้น (SLF) (ณ วันที่ 13 มิ.ย. 66) พร้อมทั้งลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย Medium-term lending rates หรือ (MLF) (ณ วันที่ 15 มิ.ย. 66)  จากระดับ 2.75% สู่ระดับ 2.65 % เพื่ออัดฉีดสภาพคล่องให้สถาบันการเงินและเพื่อเพิ่มการกระตุ้นการปล่อยสินเชื่อ ส่วนธนาคารกลางจีน (PBoc) ก็ได้ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าชั้นดี Loan Prime Rate (LPR) ประเภท 1 ปี (ดัชนีวัดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของภาคเอกชน) ลง 0.10% สู่ระดับ 3.55% จากระดับ 3.65% พร้อมกับปรับลดอัตราดอกเบี้ย Loan Prime Rate (LPR) ประเภท 5 ปี (ดัชนีวัดทิศทางอัตราดอกเบี้ยของภาคครัวเรือน ซึ่งรวมถึงอัตราดอกเบี้ยเพื่อการกู้จำนอง) ลง 0.10% สู่ระดับ 4.2% จากระดับ 4.3% (ณ วันที่ 20 มิ.ย. 66) ซึ่งเป็นการปรับลดดอกเบี้ยดังกล่าวครั้งแรกในรอบ 10 เดือน ถือเป็นการส่งสัญญาณอย่างต่อเนื่องว่าทางการจีนต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจ เป็นผลดีต่อตลาดหุ้นจะเห็นได้ว่าเดือน มิ.ย.ตลาดหุ้นจีนเริ่มเห็นแสงสว่างตอบรับปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง
        • ในระยะข้างหน้านักลงทุนในตลาดยังคาดหวังว่าจีนจะยังออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปี อีกทั้งระดับ Valuation P/E (Price to Earnings Ratio : อัตราส่วนราคาตลาดต่อกำไรสุทธิ) ที่ระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของตัวเองในอดีต และโอกาสที่จะปรับลงต่อจากนี้ค่อนข้างต่ำเนื่องจากที่ผ่านมาตลาดรับรู้ข่าวร้ายไปพอสมควรแล้ว จึงมีความน่าสนใจเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นในภูมิภาคอื่นๆ ยังแนะนำทยอยสะสมช่วงที่ตลาดปรับตัวลง

ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของจีน

ที่มา : Bloomberg, Investing ณ วันที่ 26 พ.ค. 2023 



        ตลาดหุ้นเวียดนาม อีกหนึ่งตลาดที่น่าจับตา ธนาคารกลางเวียดนามมีการใช้นโยบายทางการเงินแบบผ่อนคลายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงจากภาคส่งออกที่หดตัวลง หลังจากเงินเฟ้อกลับมาอยู่ในระดับที่ควบคุมได้และค่าเงินด่องกลับมามีเสถียรภาพมากขึ้น ขณะที่แนวโน้มสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) จะยังปรับตัวสูงขึ้นในระยะสั้น แต่ภายหลัง ธนาคารกลางเวียดนามออกนโยบาย Circular 2/2023 ที่มีความชัดเจนในการปรับโครงสร้างการชำระหนี้ (Debt Restructuring) เช่น
    • ให้ยืดการผ่อนชำระหนี้ได้ ซึ่งตลาดคาดว่า NPL Ratio จะยังอยู่ต่ำกว่าระดับเป้าหมาย 3% ซึ่งกำหนดโดยธนาคารกลางแห่งเวียดนาม
    • ในระยะยาว เศรษฐกิจของประเทศเวียดนามจะยังคงเติบโตได้ดีจากเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ (FDI) ที่ยังคงเข้ามาลงทุนอย่างต่อเนื่อง
    • แนวโน้มรายได้ของประชากรที่เพิ่มสูงขึ้น
    • ในระยะสั้น ตลาดหุ้นเวียดนามยังคงผันผวนจากความกังวลต่อข่าวเชิงลบในประเทศเนื่องจากการสอบสวนจากภาครัฐฯ ในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และธนาคารพาณิชย์ที่ยังดำเนินต่อไป

        เป็นโอกาสทยอยสะสมในช่วงระดับ Valuation P/E (Price to Earnings Ratio : อัตราส่วนราคาตลาดต่อกำไรสุทธิ) ที่ระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของตัวเองในอดีต เหมาะสำหรับลูกค้าที่สนใจและลงทุนได้ในระยะยาว

ธนาคารกลางเวียดนามปรับลดดอ​กเบี้ย
และแนวโน้มสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ยังอยู่ในกรอบเป้าหมาย


กองทุนแนะนำที่เกี่ยวข้อง
สำหรับผู้ที่รับความเสี่ยงสูง 

K-GHEALTH
เน้นหุ้นกลุ่มสุขภาพที่มีการเติบโตต่อเนื่องด้วยปัจจัยบวกจากคนวัยสูงอายุที่มีแนวโน้มสูงขึ้น
​อ่านรายละเอียดกองทุน
​ซื้อกองทุนผ่าน K PLUS



K-CHX
ปัจจัยพื้นฐานของจีนยังดีในระยะยาวและภาครัฐออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ส่งเสริมการบริโภคภายในประเทศจีนให้กลับมาเติบโต
​อ่านรายละเอียดกองทุน
ซื้อกองทุนผ่าน K PLUS




K-VIETNAM
เน้นลงทุนตรงในหุ้นของเวียดนามที่มีศักยภาพ มีแนวโน้มเติบโตสูง มีทีมบริหารจัดการกองทุนที่มากประสบการณ์และศึกษาตลาดเวียดนามมาอย่างยาวนาน และให้ความสำคัญต่อการบริหารความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ
อ่านรายละเอียดกองทุน
ซื้อกองทุนผ่าน K PLUS



สำหรับผู้ที่รับความเสี่ยงได้ปานกลาง 

แนะนำกองทุนที่กระจายการลงทุนหลากหลายสินทรัพย์ทั่วโลกกว่า 3,000 ตัว ได้ทั้งหุ้นและตราสารหนี้ ไม่ต้องจัดพอร์ตเอง เน้นสินทรัพย์ที่จ่ายผลตอบแทนสม่ำเสมอ เพื่อโอกาสทํากําไรและลดความผันผวนในระยะยาว ผ่านกองทุนหลัก JPMorgan Investment Funds – Global Income Fund, Class I (mth) - USD (hedged)

K-GINCOME-A(A)
อ่านรายละเอียดกองทุน
ซื้อกองทุนผ่าน K PLUS



K-GINCOME-A(R) 
อ่านรายละเอียดกองทุน
ซื้อกองทุนผ่าน K PLUS



สำหรับผู้ที่รับความเสี่ยงได้ค่อนข้างน้อย 

K-FIXED-A
ลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐและภาคเอกชน และเงินฝากในประเทศ
อ่านรายละเอียดกองทุน
ซื้อกองทุนผ่าน K PLUS



K-FIXEDPLUS-A
ลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐและภาคเอกชน และเงินฝากทั้งในประเทศและต่างประเทศ
อ่านรายละเอียดกองทุน
ซื้อกองทุนผ่าน K PLUS




บทความโดย
กานต์พิชชา แดงพิบูลย์สกุล AFPT
ฝ่ายพัฒนาการให้คำปรึกษาลูกค้า



กลับ