Display mode (Doesn't show in master page preview)
Skip Ribbon Commands
Skip to main content

​​​​​​รับมือสหรัฐฯ เล็งขยายฐานอำน​าจมาอาเซียน

        จากการประชุมสุดยอดผู้นำสหรัฐฯ - อาเซียนสมัยพิเศษครั้งที่ 2 ที่จัดขึ้นไปเมื่อวันที่ 12 – 13 พฤษภาคม 2565 ซึ่งมีขึ้นเพื่อกระชับความสัมพันธ์ และ ก่อให้เกิดความร่วมมือระหว่างกันในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านสาธารณสุขและการรับมือ COVID-19, นวัตกรรม, โครงสร้างพื้นฐาน, เศรษฐกิจ ตลอดจนความร่วมมือในประเด็นภูมิภาคระหว่างประเทศ และ ปัญหาทางด้านภูมิอากาศ แต่อีกหนึ่งเบื้องหลังการประชุมนี้เกิดขึ้นมาจากการต้องการสกัดอิทธิพลของประเทศจีนในกลุ่มอาเซียนของสหรัฐฯ นั้นเอง


เบื้องหลังสำคัญของการจัด​ประชุม

เริ่มต้นจากความขัดแย้งระหว่างมหาอำนาจสหรัฐฯ และ จีน เป็นประเด็นที่ยืดเยื้อมานานจากการขาดดุลการค้าอย่างมหาศาลของสหรัฐฯ ทำให้ในสมัยของประธานาธิปดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้มีการออกมาตอบโต้จีนอย่างรุนแรงผ่านมาตรการกีดกันทางการค้า ไม่ว่าจะเป็นการตั้งกำแพงภาษี การกำหนดเงื่อนไขการนำเข้า 

        การตอบโต้ของสหรัฐฯ ส่งผลให้เกิดการย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศที่ไม่มีปัญหาทางการค้ากับสหรัฐฯ ซึ่งก็คือกลุ่มประเทศอาเซียนมากขึ้น ดังนั้นอาจเรียกได้ว่าการประชุมครั้งนี้ มีขึ้นเพื่อกระชับความสัมพันธ์ในกับกลุ่มประเทศอาเซียน กับทางสหรัฐฯ โดยมีเหตุผลหลัก ๆ คือ 
    • เป็นการรักษาผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ
    • คานอิทธิพลของจีน
    • รักษาสถานะความเป็นประเทศมหาอำนาจของสหรัฐฯ


อาเซียนสีเขียว ข้อตก​ลงอันสวยหรูที่ส่งผลต่อไทย 

อย่างไรก็ตามการประชุมในครั้งนี้ยังได้มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและตอกย้ำความมุ่งมั่นในการดำเนินการเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศ เพื่อสร้าง “อาเซียนสีเขียว” อย่างยั่งยืนและสมดุล 

        ประเทศไทยได้ประกาศเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี พ.ศ. 2608 ในการประชุม COP26 ที่เมืองกลาสโกว์ เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2564 ที่ผ่านมา และ จะขยายความร่วมมือนี้กับกลุ่มอาเซียน ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมืออย่างจริงจังทั้งในระดับประเทศ ภูมิภาค และ โลก

        ด้วยเหตุนี้สำหรับผู้ประกอบการไทยและอาเซียน จะต้องปรับตัวโดยนำเทคโนโลยีด้านพลังงานทดแทน พลังงานสะอาดมาปรับใช้ เพื่อบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างจริงจัง 

        นอกจากนี้การแสดงจุดยืนในการวางตัวเป็นกลางของไทย จะเอื้อประโยชน์ต่อการฟื้นฟูทางเศรษฐกิจและสังคมของไทยและอาเซียนได้อย่างยั่งยืน


เวียดนาม เป้าหมายการลงทุนอันดับ 1 ในอาเซียน

ผลพวงจากเหตุการณ์ต่างๆ ส่งผลให้สหรัฐฯ มีการย้ายฐานการผลิตจากจีนเข้าสู่กลุ่มประเทศอาเซียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศเวียดนาม ซึ่งมีสาเหตุว่าประเทศเวียดนามมีพรมแดนที่ติดกับจีนตอนใต้ จึงทำให้ประหยัดต้นทุนในการขนส่งสินค้าและวัตถุดิบจากจีน อีกทั้งยังมีข้อได้เปรียบอีกหลาย ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็น
    • ต้นทุนแรงงานที่ยังอยู่ในระดับต่ำ
    • สัดส่วนประชากรที่อยู่ในวัยทำงานมีระดับสูง
    • ศักยภาพในการเติบโตทางเศรษฐกิจจากการสนับสนุนจากภาครัฐ และ เป้าหมายที่จะยกระดับเป็นประเทศที่มี “รายได้สูง” ในปี 2588
    • การทำข้อตกลงการค้าเสรี (Free Trade Agreement: FTA) กับหลายประเทศ ส่งผลให้เวียดนามมีความน่าดึงดูดในฐานะการเป็นฐานส่งออกสินค้า
    • แนวโน้มการเพิ่มขึ้นของชนชั้นกลาง การขยายความเจริญไปยังเมืองรองต่างๆ อย่างรวดเร็ว เป็นตัวช่วยเพิ่มกำลังซื้อของประชากรในประเทศมากขึ้น

จากปัจจัยดังกล่าว ทำให้ IMF คาดการณ์เศรษฐกิจเวียดนามในปี 2565 นี้ว่าจะเป็นประเทศที่เติบโตโดดเด่นในภูมิภาคอาเซียนถึง 6% 

โอกาสเติบโตไปพร้อมกับผู้นำเศรษฐกิจแห่งใหม่ของอาเซียน


จากการคาดการณ์การเติบโตของเวียดนามนั้น จึงเป็นโอกาสดีของนักลงทุน กองทุน K-VIETNAM จึงเป็นอีกหนึ่งกองทุนที่มีผลการดำเนินงานที่โดดเด่น โดยผู้จัดการกองทุนคัดสรรและลงทุนตรงในบริษัทที่มีความได้เปรียบทางการแข่งขันและได้ประโยชน์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจของเวียดนามในระยะยาว


กองทุนแนะนำ
K-VIETNAM
กองทุนหุ้นเวียดนาม
​อ่านรายละเอียดกองทุน
​ซื้อกองทุนง่าย ๆ บน KPLUS

​​​​​​​


ทำไมต้อง K-VIETNAM?
    • ลงทุนตรงในหุ้นเวียดนามชั้นนำ เน้นหุ้นกลุ่มที่มีศักยภาพการเติบโตสูง
    • ผลการดำเนินงานโดดเด่น เอาชนะดัชนีชี้วัดอย่างสม่ำเสมอ

เหมาะกับใคร?
    • ผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนในหุ้นเวียดนาม 
    • ผู้ลงทุนที่มีประสบการณ์ลงทุนหุ้นต่างประเทศ สามารถรับความเสี่ยงได้สูง
    • ผู้ลงทุนที่สามารถลงทุนระยะยาวได้มากกว่า 5 ปีขึ้นไป 
    • ผู้ลงทุนที่สามารถรับความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้

ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตาม
    • ตลาดหุ้นเวียดนามเป็นตลาดที่มีความผันผวนสูง
    • ปัญหาการคอร์รัปชันที่อาจกระทบกับบริษัทจดทะเบียนในประเทศ

K-Expert วรสุดา ใช้เทียมวงศ์  AFPT™
ฝ่ายพัฒนาการให้คำปรึกษาลูกค้า
ที่มา : 


กลับ