Display mode (Doesn't show in master page preview)
Turn on more accessible mode
Skip Ribbon Commands
Skip to main content
Turn off Animations

3 สุดยอดเทคโนโลยี เพื่อการก่อสร้างอย่างยั่งยืน ที่เจ้าของธุรกิจไม่ควรพลาด

3 สุดยอดเทคโนโลยี เพื่อการก่อสร้างอย่างยั่งยืน ที่เจ้าของธุรกิจไม่ควรพลาด

​​​​

        ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า หลังมีรัฐบาลใหม่ มูลค่าการลงทุนก่อสร้างรวมในปี 2567 น่าจะเร่งตัวขึ้นในช่วง 2.3 – 3.0% (YoY) จากปี 2566 ซึ่งมีอัตราการเติบโตที่ 1.6% (YoY) จากการกลับมาเบิกจ่ายงบประมาณประจำปี 2567 ที่ล่าช้าจากปลายปี 2566 ส่งผลให้โครงการก่อสร้างภาครัฐน่าจะกลับมาเดินหน้าได้ ขณะที่มูลค่าการลงทุนก่อสร้างภาคเอกชนก็น่าจะยังขยายตัวได้ โดยมีแรงหนุนจากการก่อสร้างโครงการเชิงพาณิชย์และการพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจ สอดคล้องไปกับนโยบายการดึงดูดการลงทุนของรัฐบาล 



        อย่างไรก็ตาม ธุรกิจก่อสร้างยังมีโจทย์ท้าทายในการดำเนินธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นต้นทุนวัสดุก่อสร้างที่ยังยืนตัวสูง ปัญหาการขาดแคลนแรงงานที่จะยิ่งรุนแรงขึ้นในระยะข้างหน้า ตามโครงสร้างประชากรไทยที่มีจำนวนลดลงและเป็นสังคมสูงวัย ส่วนแรงงานต่างด้าวอาจเพิ่มไม่ได้มากเหมือนในอดีต นอกจากนี้ ยังต้องติดตามนโยบายการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำของรัฐบาลที่จะกระทบต่อต้นทุนการดำเนินธุรกิจ 

        ดังนั้น เจ้าของกิจการบางส่วนจึงเริ่มนำเทคโนโลยีการก่อสร้างมาปรับใช้บ้างแล้ว เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความสามารถในการทำกำไรในระยะยาว ทั้งนี้ ภายใต้เงื่อนไขภาวะเศรษฐกิจที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง คาดว่าเจ้าของกิจการน่าจะเลือกลงทุนตามความจำเป็นอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยพิจารณาความพร้อมและความคุ้มค่าในการลงทุน 

3 ตัวอย่างเทคโนโลยีการก่อสร้างที่น่าจะ​เห็นการใช้มากขึ้น



1. เทคโนโลยีการจำลองแบบงานก่อสร้างเสมือนจริง (Building Information Modeling: BIM)
        ที่ทำให้ทีมงานก่อสร้างเห็นภาพรวมของโครงการ จัดเก็บข้อมูลในรูปแบบดิจิทัล ติดตามความคืบหน้าได้ในทุกขั้นตอน รวมถึงประเมินความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ ซึ่งจะเพิ่มประสิทธิภาพและช่วยลดความผิดพลาดในงานก่อสร้างให้น้อยที่สุด ซึ่งมีการประเมินว่า การใช้ BIM จะลดค่าใช้จ่ายที่เกิดจากส่วนสูญเสียได้ 10 - 15% 

2. การก่อสร้างแบบโมดูลาร์/ชิ้นส่วนสำเร็จรูป (Modularity Construction / Prefabricated Building) ในงานที่ซับซ้อนขึ้น
        น่าจะเริ่มมีการใช้เทคโนโลยีพิมพ์แบบ 3 มิติ ในการสร้างชิ้นส่วนงานก่อสร้างขนาดใหญ่และงานตกแต่งสำเร็จรูป ซึ่งเป็นงานที่ซับซ้อนขึ้น หลังจากได้มีการใช้เทคโนโลยีนี้ในงานก่อสร้างอย่างแพร่หลายแล้ว ทั้งคอนกรีต Precast หรือบ้านน็อคดาวน์ซึ่งช่วยลดเวลาและต้นทุนการก่อสร้าง อย่างบ้านน็อคดาวน์ก็อาจลดค่าก่อสร้างลงได้ 15 - 30% ของค่าก่อสร้างแบบมาตรฐาน 

3. บริการจัดการของเสียและวัสดุเหลือใช้ในงานก่อสร้าง (Construction Waste Management Solutions)
        ในไซต์ก่อสร้างที่มีเศษวัสดุเหลือใช้จำนวนมาก ตั้งแต่การเตรียมพื้นที่ก่อสร้างจนถึงตกแต่งอาคาร ทำให้บริการโซลูชันดังกล่าวเข้ามาช่วยในการลำเลียง คัดแยกวัสดุ เพื่อนำไปกำจัดให้ถูกวิธี หรือนำกลับไปใช้ใหม่ และยังรวมถึงการติดตั้งระบบกำจัดของเสียของอาคารตามแนวทางการก่อสร้างเพื่อความยั่งยืน ซึ่งจะมีส่วนช่วยในการบรรลุเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกของอุตสาหกรรมก่อสร้าง สอดคล้องไปกับเป้าหมาย Net Zero



        ทั้งนี้ เจ้าของกิจการอาจเลือกใช้เทคโนโลยีตามลักษณะและขนาดของงานก่อสร้าง แต่การจะทำให้มีการใช้งานเทคโนโลยีการก่อสร้างในวงกว้างมากขึ้น คงจำเป็นต้องอาศัยการถ่ายทอดองค์ความรู้และการปรับตัวตลอดทั้ง Supply Chain



กลับ