Display mode (Doesn't show in master page preview)
Turn on more accessible mode
Skip Ribbon Commands
Skip to main content
Turn off Animations

แนวคิดพัฒนาเศรษฐกิจ "Common Prosperity" เมื่อ จีนเดินหน้า กระตุ้นคนรวยต้องตอบแทนสังคม

แนวคิดพัฒนาเศรษฐกิจ "Common Prosperity" เมื่อ จีนเดินหน้า กระตุ้นคนรวยต้องตอบแทนสังคม

​​​​​​​​จุดหมาย คือ ลดความเหลื่อมล้ำในประเทศจีน


ในช่วงที่ผ่านมาคำกล่าวว่า “Common Prosperity” หรือ นโยบายเจริญรุ่งเรืองร่วมกันของจีนได้ถูกพูดถึงเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก หลังทางการจีนได้ประกาศนโยบายเพื่อลดความเหลื่อมล้ำในประเทศ โดยข้อมูลจากทางการจีนระบุว่ารายได้ของคนเมืองมากกว่าคนในชนบทถึง 2.5 เท่า ซึ่งปัญหาความเหลื่อมล้ำดังกล่าวเป็นปัญหาที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างครอบคลุม เป้าหมายดังกล่าวสอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 14 (2564 – 2568) ที่เริ่มใช้ปีนี้เป็นปีแรกเพื่อวางรากฐานการพัฒนาเศรษฐกิจจีนในรูปแบบใหม่ มุ่งเน้นการเติบโตอย่างมีคุณภาพและยั่งยืนมากกว่าการเติบโตเชิงปริมาณ

จีนออกกฎหมายและเข้าควบคุมธุรกิจต่าง ๆ 

ทางการจีนได้เพิ่มบทบาทในการออกกฎหมายและควบคุมธุรกิจต่างๆ  โดยเริ่มขึ้นอย่างเด่นชัดเมื่อช่วงปลายปี 2563 ที่ทางการจีนสั่งระงับการขายหุ้น IPO ของผู้ให้บริการ
ชำระเงินผ่านแอปพลิเคชั่นแห่งหนึ่ง เนื่องจากความกังวลเรื่องการปล่อยสินเชื่อรายย่อยผ่านแอปพลิเคชั่นที่เติบโตอย่างรวดเร็วว่าอาจกระทบต่อเสถียรภาพทางการเงินของจีน ขณะที่ในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 ทางการจีนได้เริ่มขยายขอบเขตการออกกฎหมาย ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการศึกษา โดยกำหนดให้ธุรกิจกวดวิชา ติวเตอร์ และ แพลตฟอร์มให้บริการคอร์สเรียนเปลี่ยนเป็นองค์กรไม่แสวงหากำไร และ ล่าสุดมีการหารือกับบริษัทเกมส์ของจีนในการกำหนดแนวทางปฎิบัติเพื่อยุติการมุ่งเน้นกำไรและให้ความสำคัญกับคุณภาพของเยาวชนเป็นหลัก ปัจจัยต่าง ๆ ดังกล่าวส่งผลกระทบกับหุ้นกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยี / เกมส์ของจีนให้ผันผวนเป็นอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา 



ที่มา: Bloomberg​

3 กลุ่มธุรกิจหลักที่ต้องเฝ้าระวังในการลงทุน

        ในระยะข้างหน้า สามกลุ่มธุรกิจที่สำคัญที่ทางการจีนจะดูแลปรับเปลี่ยนแนวทางการดำเนินธุรกิจเพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายการเติบโตอย่างยั่งยืน ได้แก่ 
  • กลุ่มบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ เพื่อป้องกันการผูกขาดของกลุ่มทุน โดยเฉพาะธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับข้อมูล ให้สอดรับกับกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PIPL) ที่ผ่านสภาประชาชนแห่งชาติจีนไปเมื่อวันที่ 20 ส.ค. 64 
  • กลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับความเป็นอยู่ของประชาชน ภาระค่าใช้จ่ายหลัก อันได้แก่ การศึกษา อสังหาริมทรัพย์ และ บริการทางการแพทย์ จะถูกกำกับดูแลโดยทางการมากขึ้นทั้งแง่ของการตั้งราคาและการแสวงหาผลกำไร โดยเฉพาะธุรกิจบริการทางการแพทย์ ที่คาดว่าจะเป็นอุตสาหกรรมต่อไปที่ทางการจีนจะเข้าไปดูแล สอดรับกับนโยบายลูก 3 คน ของจีนที่หวังให้ประชากรมีบุตรมากขึ้น โดยการลดภาระค่าใช้จ่ายของครัวเรือน เพื่อแก้ปัญหาโครงสร้างประชากรจีนและปัญหาความเหลื่อมล้ำ 
  • กลุ่มธุรกิจที่ไม่สอดคล้องกับแผนพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน อาทิ กลุ่มธุรกิจที่มีการปล่อยมลภาวะทางสิ่งแวดล้อมที่สูง กลุ่มธุรกิจที่มีการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างไม่ยั่งยืน


ผลกระทบระยะสั้น – ยาว ของการลงทุนในจีน

        เศรษฐกิจจีนยังมีแนวโน้มฟื้นตัวได้ดีต่อเนื่อง โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะสามารถเติบโตได้ 8.0 - 8.5% ในปี 2564 ซึ่งถือเป็นการเติบโตที่อยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับภูมิภาค และ เป็นการเติบโตที่สูงกว่าตัวเลขที่ระบุไว้ในแผนพัฒนา ฉบับที่ 14 (ซึ่งระบุไว้ที่ 6%) ดังนั้น ความพยายามของจีนในการออกมาตรการต่าง ๆ มาควบคุมและจัดระเบียบเศรษฐกิจใหม่ อาจสร้างความผันผวนให้ตลาดในระยะสั้น โดยนักลงทุนอาจต้องเพิ่มความระมัดระวังใน 3 ขอบเขตธุรกิจที่กล่าวไปข้างต้น ขณะที่กลุ่มธุรกิจอื่น ๆ ที่ตอบโจทย์ด้านความมั่นคงและแผนพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ อาทิ อุตสาหกรรมพลังงานสะอาด อุตสาหกรรมการผลิตที่ใช้เทคโนโลยีเข้มข้นยังมีความน่าสนใจ ขณะที่ในระยะยาวหากทางการจีนสามารถจัดระเบียบเป็นไปในระดับที่เหมาะสม และหาสมดุลระหว่างการควบคุมและการส่งเสริมด้านนวัตกรรมได้ เชื่อว่าจะเป็นผลดีในการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน

ผู้เขียน 
พลอยไพลิน เกียรติสุรนนท์ (นักวิจัย) 
จิรดา ภักดิ์วิไลเกียรติ (นักวิจัย)
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย




กลับ